“พิชัย” ค้านเรียกปรับทัศนคติได้อีก ชี้เป็นวิธีของระบอบเผด็จการ ประเทศไทยนั้นมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ถ้าใครทำผิดก็ฟ้องร้องกันไป ไม่ใช่จะเรียกกันมาปรับทัศนคติ เพราะในโลกประชาธิปไตยไม่มีใครทำแบบนี้

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอกว่า แม้ คสช.จะไม่มีแล้วแต่ยังเรียกปรับทัศนคติได้ ในฐานะที่เคยถูกเรียกปรับทัศนคติมากที่สุดถึง 8 หน อยากบอกว่าประเทศไทยได้กลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่คำสั่ง คสช.ที่ให้อำนาจในการเรียกปรับทัศนคตินั้นยังอยู่ สวนทางกับระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน

ประเทศไทยนั้นมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ถ้าใครทำผิดก็ฟ้องร้องกันไป ไม่ใช่จะเรียกกันมาปรับทัศนคติ เพราะในโลกประชาธิปไตยไม่มีใครทำแบบนี้ ยกเว้นจะเป็นระบบเผด็จการ ขอคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และขอให้ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้เข้าสู่สภาฯ และออกกฎหมายเพื่อล้มเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคำสั่งของเผด็จการอย่างชัดเจน ไม่มีประเทศเสรีที่ไหนในโลกเขาทำ

ส่วนที่อ้างว่าเพื่อความสงบเรียบร้อยนั้น ตนว่าไม่เกี่ยว เพราะรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศมา 5 ปีแล้ว หากคิดว่าประชาชนเห็นดีเห็นงามด้วย ก็ไม่ต้องกังวล ป้องกันไม่ให้คนวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดอะไรที่ขัดหูรัฐบาล มันควรหมดไปตั้งนานแล้ว

“ผมถูกเรียกปรับทัศนคติมากที่สุด ต้องยอมรับว่ารู้สึกกลัว ทั้งที่เพียงวิพากษ์วิจารณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยมีการอ้างอิงตัวเลขที่ตรงกับความเป็นจริง ยืนอยู่บนหลักวิชาการ และต่อมาก็เป็นจริงอย่างที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด แต่เมื่อถูกเรียกกลับทำให้เรากดดัน เหมือนเกรงกลัว ทำร้ายกันทางจิตใจและหลอนอยู่เหมือนกัน

เพราะเราคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่กลับถูกเรียกอย่างไม่ยุติธรรม เพราะหลายครั้งมีทหารถือปืนมาคุมตัว บางครั้งก็ถูกคลุมหัวปิดตาพาไปกักตัวอยู่ถึง 7 วัน เพียงเพราะวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ ไม่มีใครในโลกนี้ ที่จะถูกเรียกปรับทัศนคติเพราะไปวิจารณ์เศรษฐกิจ ผมโดนทั้งหมด 8 ครั้ง ถูกเรียกดำเนินคดี 4 ครั้ง รวม 12 ครั้ง

ประเด็นนี้จะทำให้รัฐบาลถูกกดดันต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มันเหมือนการข่มขู่ นอกจากนี้การเรียกปรับทัศนคตินี้จะทำให้ประเทศไทยยังดูเป็นเผด็จการอยู่ ซึ่งจะทำลายความมั่นใจของนักลงทุนชาวต่างประเทศที่จะมาลงทุนในไทย” นายพิชัย กล่าว


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน