“ไพบูลย์” มั่นใจยุบพรรคตัวเองได้ พร้อมสมัครสมาชิก พปชร. ทันที ปัดหนีความเสี่ยงหลุด ส.ส. ด้านอดีต กกต. “สมชัย” จี้ กกต. เคลียร์ปัญหา หวั่น พรรคใหญ่ใช้เกมนี้ดึงพรรคเล็กสังกัด หนีความผิดควบรวมพรรค กังขา หากย้ายจริงจะอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ในบัญชีรายชื่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงาน กกต. ว่าวันที่ 23 ส.ค. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กกต. โดยเปิดเผยว่า ได้มาเซ็นเอกสารในการแจ้งยุบพรรคเพิ่มเติม เนื่องจากไม่ได้เซ็นชื่อในสำเนาบัตรประชาชน พร้อมมั่นใจว่าการยื่นครั้งนี้ น่าจะสามารถดำเนินยุบพรรคประชาชนปฏิรูปได้ เพราะเข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย

และ ทันทีที่ กกต.ประกาศยุบพรรคในราชกิจจานุเบกษา ตนก็จะเดินทางไปสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทันที โดยยอมรับว่าไม่สามารถนำคะแนนของพรรคประชาชาปฏิรูปโอนไปให้พรรคพลังประชารัฐได้ และหากภายใน 1 ปี มีการเลือกตั้งใหม่ มีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ คะแนนของพรรคที่มีอยู่กว่า 45,508 คะแนนไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้ ส.ส.ก็ยินดีที่จะพ้นจากตำแหน่ง

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การที่ตนไปสมัครทำให้จำนวน ส.ส.ของพรรคเพิ่มเท่านั้น ไม่ได้ไปอยู่ในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐ อย่างไรตามการที่ตนย้ายพรรคในครั้งนี้เพราะการเลิกกิจการพรรค แต่ไม่ได้เพราะหนีความเสี่ยงที่จะหลุดจาก ส.ส. เพราะคะแนนของพรรคตนยังอยู่ในเซฟโซน

หวั่น พรรคใหญ่ดึงพรรคเล็กสังกัด หนีความผิดควบรวมพรรค

ด้าน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปยื่นยุบพรรคต่อกกต. ว่า กรณีการยุบพรรคมี 2 กรณี คือ ยุบตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ และ ตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรคที่เห็นว่าไม่สามารถบริหารจัดการภายในพรรค

เช่น มีหนี้สิน และไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองได้จึงได้ยื่นยุบต่อกกต. ซึ่งเมื่อพรรคถูกยุบพรรคแล้ว ส.ส.ยังมีสถานะความเป็นส.ส.อยู่ โดยจะต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน แต่จะมีปัญหากรณีที่ส.ส.เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมาจากคะแนนรวมทุกเขตของทั้งประเทศที่ถูกนำมาคำนวณเป็นจำนวนส.ส.พึงมี

ดังนั้นคำถามคือ ส.ส.ดังกล่าวจะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่เท่าใดของพรรคการเมืองใหม่ที่ไปสังกัด เพราะจะมีปัญหาหากมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ที่จะต้องคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งซ่อมภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ซึ่งล่าสุดที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดนครปฐม

“ในกรณีของจังหวัดเชียงใหม่เขต 8 เป็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่า เกิดการปรับเปลี่ยนจำนวนส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค เพราะเมื่อคำนวณคะแนนใหม่ทั้งประเทศ มีพรรคพลังประชารัฐ และ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มพรรคละ 1 คน แต่พรรคที่ส.ส.หายไปคือพรรคไทรักธรรม แสดงให้เห็นว่าแม้คะแนนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบได้”นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าหากยุบพรรคของนายไพบูลย์แล้ว จะต้องนำคะแนนของพรรคประชาชนปฏิรูปกว่า 45,000 คะแนน ลบออก และนำไปคำนวณใหม่ ซึ่งนายไพบูลย์สามารถไปสังกัดเฉพาะพรรคที่จะได้ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่านายไพบูลย์ต้องการจะไปอยู่พรรคนั้นหรือไม่ และ พรรคนั้นจะยอมรับนายไพบูลย์หรือไม่ หากพรรคที่จะได้จำนวน ส.ส.เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ

นอกจากนี้หากนายไพบูลย์ได้ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ถามว่านายไพบูลย์จะแทรกลำดับของผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กกต.ต้องหาคำตอบให้ได้ เพราะอย่างไรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนส.ส.ของพรรคอย่างแน่นอน นอกจากนี้กรณีของนายไพบูลย์ จะเข้าข่ายเป็นการควบรวมพรรคหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนปฏิรูปมีส.ส.เพียงคนเดียว ดังนั้นการที่นายไพบูลย์ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐจะเท่ากับการย้ายพรรค 100 เปอร์เซ็นต์

นายสมชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบตามมาอีกมากในทางการเมือง เนื่องจากพรรคใหญ่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้ให้พรรคเล็กยุบและดึงสส.ของพรรคนั้นเข้ามาอยู่ในพรรคใหญ่ เพื่อเลี่ยงกฎหมายการควบพรรคการเมือง หรือ พรรคเล็กอยากจะหนีความเสี่ยงว่าจะหลุดออกจากตำแหน่งส.ส.เพราะได้คะแนนรวมของพรรคต่ำไปสังกัดพรรคใหญ่แทน ซึ่งจะทำให้หลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายผิดเพี้ยนไปหมด

จึงขอให้ กกต. นอกจากจะคิดในเชิงนิติศาสตร์แล้ว อยากให้มองในทางรัฐศาสตร์ที่จะมีผลกระทบที่ตามมาในภายหลัง ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะไปถึงศาลรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และ เป็นเรื่องที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน จึงไม่มีบทบัญญัติใดๆเกี่ยวกับกรณีนี้


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน