ลุ้นอีกอุทธรณ์ “บุญทรง อดีตรัฐมนตรีสมัยยิ่งลักษณ์” คดีทุจริตข้าว “จีทูจี” หลังศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 42 ปี!

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ จำเลยคดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เปิดเผยว่า ในฐานะทนายและนายบุญทรง ซึ่งอยู่ในเรือนจำ ได้รับหมายแจ้งจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีนี้ในวันที่ 6 ก.ย. เวลา 11.00 น. ซึ่งตนได้พูดคุยกับนายบุญทรงแล้ว จำเลยทุกคนหวังจะได้รับความเมตตาจากศาล

ด้านนายธนกร แหวกวารี ทนายความกลุ่มข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ และสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยร่วมคดีดังกล่าว ระบุว่า ได้รับหมายศาลแล้วเช่นกัน ซึ่งจำเลยที่ 4-6 ที่ตนรับผิดชอบก็ได้ยื่นอุทธรณ์ทั้งประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วยเช่นกัน

ซึ่งจำเลยยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย ขอให้คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง หรือลงโทษสถานเบา หรือรอการลงโทษ ตามขั้นตอนแนวทางการพิจารณาคดีอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม โดยคดีนี้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นฟ้องขอลงโทษจำเลยในหลายกรรม เราโต้แย้งว่าพฤติการณ์ตามฟ้องนั้นเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือไม่ ซึ่งจำเลยยังคงอยู่ในเรือนจำมาตลอด สภาพจิตใจยังดีอยู่ ทั้งหวังว่าจะได้รับความเมตตาและความเป็นธรรมจากศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าวมีกลุ่มนักการเมืองระดับรัฐมนตรีและกลุ่มข้าราชการ รวมทั้งเอกชนประกอบกิจการโรงสีข้าว รวม 28 ราย ร่วมกันทุจริตโครงการระบายข้าวจีทูจี โดยเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 องค์คณะศาลฎีกาฯ ไต่สวนแล้วเห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาให้ขายข้าวแก่บริษัท กว่างตง จำกัด และบริษัท ไห่หนาน จำกัด ที่อ้างว่าเป็นผู้แทนจากประเทศจีน 4 ฉบับ มีข้อพิรุธหลายประการ

โดยบริษัทเอกชนที่อ้างเป็นผู้แทนจากจีนนั้น ไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน เพียงแต่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริงเท่านั้น พฤติการณ์จึงจงใจปล่อยปละละเลย ซ่อนเร้นอำพราง ปิดบังความจริงเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขายข้าว เพื่อเอื้อประโยชน์เปิดช่องทางให้มีข้าวกลับมาหมุนเวียนขายในประเทศ ไม่ได้เป็นการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ

จึงพิพากษาให้จำคุก นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1 รวม 2 กระทง จำคุกรวม 36 ปี ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา (ฮั้วประมูล) มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทหนักสุด นายบุญทรง จำเลยที่ 2 ให้จำคุกรวม 3 กระทง 42 ปี ตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล มาตรา 12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151

นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลย 4 เป็นเวลา 40 ปี, นายทิฆัมพ นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 32 ปี, นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6 เป็นเวลา 24 ปี

นายอภิชาต หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวคนสำคัญ จำเลยที่ 14 จำคุก 48 ปี, นายนิมล หรือโจ รักดี คนสนิทเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 15 จำคุก 32 ปี ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำผิดพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ให้ปรับ บจก.สยามอินดิก้า จำเลยที่ 10 รวม 4 กระทงเป็นเงิน 1 ล้านบาท และให้ บจก.สยามอินดิก้า, เสี่ยเปี๋ยง และนายนิมล ร่วมกันชดใช้กระทรวงการคลัง 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ

ส่วนจำเลยที่ 7,8,9,11,12 ให้จำคุกคนละ 8-16 ปี ฐานสนับสนุนทำผิดพ.ร.บ.ฮั้วประมูล กับให้จำคุก จำเลยที่ 13,17,18 เป็นเวลา 4 ปี ฐานสนับสนุนทำผิดตาม ป.อาญา มาตรา 151 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 123/1

สั่งปรับ บจก.กีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำเลยที่ 20 จำนวน 25,000 บาท และน.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร ลูกสาวเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 21 (ไม่มาศาลวันอ่านคำพิพากษา) จำนวน 40,000 บาท ฐานสนับสนุนทำผิดตาม ป.อาญา มาตรา 151 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 123/1 รวมทั้งให้ทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายด้วยจำนวน 1,294,109,764.80 บาท

โดยให้ยกฟ้อง นายสมยศ คุณจักร จำเลยที่ 19 สามีของญาตินายอภิชาต และกลุ่มโรงสีกับผู้บริหารโรงสี จำเลยที่ 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28 เนื่องจากพยานหลักฐานที่ไต่สวนมาไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยทั้ง 8 เกี่ยวข้องกับการกระทำ

สำหรับ พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ หรือหมอโด่ง อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 และนายสุธี เชื่อมไธสง คนสนิทของนายอภิชาติ จำเลยที่ 16 หลังจากศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวไปเพราะจำเลยหนีคดี ต่อมามีพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิอม.) พ.ศ.2560 ออกมาบังคับใช้

โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2562 องค์คณะศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่าทั้งสองได้ร่วมกระทำผิดด้วย ให้จำคุก พ.ต.นพ.ดร.วีระวุฒิ จำเลยที่ 3 รวม 4 กระทงเป็นเวลา 72 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้วให้จำคุกทั้งสิ้น 50 ปี และนายสุธี จำเลยที่ 16 จำคุก 4 กระทงเป็นเวลารวม 32 ปี และให้จำเลยที่ 16 ชดใช้ค่าเสียหายให้กับกระทรวงการคลัง 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันทำสัญญา


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน