เปิดคำพูดเต็ม ดร.ชลิตา โต้ปมเสนอไทยเลิกเป็นราชอาณาจักร โอดถูกตัดตอนเนื้อหา

จากกรณีมีการนำเสนอข้อมูลว่า ผศ.ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นพูดในเวทีเสวนา 7 พรรคฝ่ายค้านสัญจรภาคใต้ ที่ลานวัฒนธรรม หน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ว่า จะเสนอให้ไทยเลิกเป็นราชอาณาจักร จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นั้น

ล่าสุด ผศ.ดร.ชลิตา ออกมาตอบโต้ถึงกรณีดังกล่าวว่า มีการตัดตอนเนื้อหาที่บรรยายในลักษณะที่ไม่ตรงกับเจตนาและความตั้งใจในการนำเสนอ จึงมีการนำคลิปและถอดคำพูดเต็มจากการบรรยาย เรื่อง “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

โดยมีข้อความดังนี้ ขอบคุณผู้จัดที่เชิญมาในงานงานนี้ รู้สึกได้รับเกียรติอย่างมากที่ได้มาพบพี่น้องประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ได้ทราบผลการลงประชามติรัฐธรรมนูญ รู้สึกชื่นชมและภาคภูมิใจต่อพี่น้องประชาชนชายแดนใต้เป็นอย่างมากที่ส่วนใหญ่ลงคะแนนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

ทราบว่าหลายคนทำงานกันหนักมากในการนำเสนอข้อมูลของรัฐธรรมนูญที่มันส่งผลกระทบต่อพื้นที่ 3 จังหวัด โดยเฉพาะประเด็นด้านการศึกษาและศาสนา ตอนนั้นมีการพูดคุยเรื่องนี้กันหลังละหมาดวันศุกร์ ช่วงละศีลอด ก่อนลงประชามติ มีการแปลเอกสารรัฐธรรมนูญเป็นภาษามลายูอักษรยาวี ทำงานกันคึกคคักมาก และประสบความสำเร็จในที่สุด

วันนี้ก็เช่นกัน เราจะมาร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ดิฉันในฐานะนักวิชาการ เราจะช่วยพี่น้องในกระบวนการนี้ หากหลายคนดูข่าวจะทราบว่าเรามีการตั้งคณะ ครช. หรือคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จะประกอบด้วยนักวิชาการ ภาคประชาชน นักศึกษา นักกิจกรรม ที่มีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตย จะร่วมมือกันในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน

เฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรามีองค์กรเครือข่ายที่เข้าร่วมกับ ครช.อยู่หลายกลุ่ม ตั้งแต่เครือข่ายนักวิชาการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คนส.จชต.), องค์กรนักศึกษาพัฒนาการเมืองและประชาธิปไตยปาตานี, เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี, เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ และเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (คปส.) เราจะร่วมกันจัดเวทีในพื้นที่ เพื่อรวบรวมความคิดเห็นว่าคิดอย่างไรต่อรัฐธรรมนูญ และอยากได้รัฐธรรมนูญแบบไหน

ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนบอกว่าสมควรเป็นวาระแห่งชาติ ทุกฝ่ายควรจะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการแก้ไขปัญหา ดิฉันอยากเน้นย้ำว่าความเป็นประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ผล ต้องไม่แยกออกจากประชาธิปไตย ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เอื้อต่อการสร้างการมีส่วนร่วม การคุ้มครองเสรีภาพ การเปิดกว้าง และการแสดงจำนงทางการเมือง เพราะฉะนั้น ภายใต้ระบอบ คสช. 5 ปีที่ผ่านมา และระบอบประยุทธ์ในตอนนี้ ปัญหาชายแดนใต้ไม่มีทางที่จะดีขึ้น และภายใต้รัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจระบอบเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ปัญหาชายแดนใต้คืออะไร? มีผู้อธิบายว่ามันมาจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักที่มีน้ำหนักมาก คือผลพวงถึงความรู้สึกว่าไม่ชอบธรรม ความคับข้องหมองใจ ที่รู้สึกว่าตนเองเป็นพลเมืองชนชั้น 2 กีดกันออกจากการพัฒนาต่างๆ และในช่วง 10-15 ปีมานี้ เป็นผลจากความคับข้องหมองใจจากการถูกกระทำของรัฐ ในการกวาดล้าง ควบคุมตัว ด้วยกฎหมายพิเศษ

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งมาจากแนวคิดอุดมการณ์เรื่องการแบ่งแยกดินแดนหรือการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ซึ่งไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอยู่จริงและดำรงอยู่ และความยาวนานของเหตุการณ์ ตั้งแต่ปี 2547-2562 ที่เกิดเหตุการณ์กว่า 20,000 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิตเกือบ 7,000 คน บาดเจ็บ 13,000 กว่าคน เป็นเหตุการณ์ที่มีความยืดเยื้อเรื้อรัง

ส่วนใหญ่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร ก็เลยทำให้คนในพื้นที่รู้สึกหวาดกลัว ระแวง และไม่รู้สึกว่าเหตุการณ์มันดีขึ้น สถานการณ์ ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเกี่ยวพันกับปัญหาอื่นๆอย่างซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการพัฒนา สังคม ยาเสพติด ความยากจน เกลียดชัง และความแบ่งแยกระหว่างผู้คน ทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงมากขึ้น ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหาที่มันซ้อนทับอยู่ตลอดเวลา

สถานการณ์ความไม่สงบ หากพูดในมุมของรัฐจะเห็นว่ามีแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาอยู่ 3 แนวทาง 1.ใช้กำลังทหาร ตำรวจ ในการควบคุมพื้นที่ รักษาความปลอดภัยดำเนินการปราบปรามจับกุมดำเนินคดี 2.ใช้การพัฒนาพื้นที่และคุณภาพชีวิต 3.การส่งเสริมทางสังคมวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม การทำงานของภาคประชาชาชน

น่าสนใจว่าหลังจากปี 2557 หลังการรัฐประหารของ คสช. การแก้ปัญหาเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจที่เบ็ดเสร็จของกองทัพ แม้ว่างานด้านการพัฒนา สังคมพหุวัฒนธรรม ส่งเสริมภาคประชาสังคม ไม่ควรจะเป็นงานของความมั่นคง แต่ควรจะเป็นงานของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ แต่ทหารกลับมีอำนาจและมีบทบาทในทุกด้าน ด้วยกลไกของ กอ.รมน. ทำให้กองทัพมีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชา และดูแลทุกหน่วยงาน ศอ.บต.มีหน้าที่ในการอำนวยการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งน่าจะรวมถึงการบูรณาการกองทัพด้วย

แต่ปัจจุบันยุค คสช. ศอ.บต.กลับไปอยู่ภายใต้ กอ.รมน. ซึ่งพบว่าการแก้ปัญหาของรัฐประสบปัญหาหลายด้าน ในส่วนของใช้กำลังปราบปรามหรือการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ พบว่ามีการใช้กฎหมายพิเศษหลายฉบับ พรก.ฉุกเฉิน พรบ.ความมั่นคง พรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน ผลที่เกิดขึ้นคืออับดุลเลาะ และหลายคน เกิดพิการและเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ หลายรายถูกจับแต่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมล่าช้า ไม่สามารถที่จะมีศักยภาพในการต่อสู้คดีได้ เข้าไม่ถึงสิทธิในการประกันตัว เช่น คดีระเบิดน้ำบูดูก็เช่นกัน

รวมถึงแนวทางการพัฒนาของรัฐพบว่า เนื่องจากชนชั้นนำของไทย ถ้าแก้ปัญหาความยากจนได้ ก็จะแก้ปัญหาชายแดนใต้ได้ จึงพยายามพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ นำชาวบ้านเข้าสู่เศรษฐกิจกับตลาดอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดโครงการพฒนาที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม ซึ่งคนได้ประโยชน์จะเป็นกลุ่มคนเล็กๆ ที่เป็นชนชั้นนำ ผู้มีอิทธิพล ในขณะที่การส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรมของรัฐมีข้อจำกัดท่าเป็นการส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรมโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของรัฐเท่านั้น มากกว่าที่จะพูดถึงความหลากหลาย สิทธิ และความเท่าเทียม

ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาทั้ง 3 ของรัฐมีปัญหามาก ภาคประชาชนพยายามที่จะเสนอ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ดีกว่า มีข้อเรียกร้องหลายอย่าง เช่น เรี่องการยกเลิกกฎหมายพิเศษ การปกครองรูปแบบพิเศษ เป็นต้น นี่คือสถานการณ์โดยรวม

ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตราที่พี่น้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา และศาสนา ที่พี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้กังวล มันก็ยังคงอยู่ มีปัญหาสำคัญ คือเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เห็นหัวประชาชน เพราะมีการให้อำนาจแก่องค์กรอิสระต่างๆมากมาย เหนือองค์กรที่มาจากอำนาจของการเลือกตั้ง พี่น้องลองคิดดู หลังการเลือกตั้ง เราได้ ส.ส.เมื่อมีปัญหาความเดือดร้อนทุกวันนี้ ส.ส.มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหา ไปหาถึงบ้าน นำปัญหาไปพูดในสภา เราจะเห็นว่ากลไกรัฐสภาสำคัญอย่างไร แต่รัฐธรรมนูญนี้กลับลดอำนาจแก่องค์กรที่มาจากการเลือกตั้ง

โดยสรุปสุดท้าย ดิฉันเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ในบริบทของจังหวัดชายแดนภาคใต้ คิดว่าเราสามารถใช้เวทีรัฐธรรมนูญมาถกเถียงถึงใจกลางของปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบ ที่ผ่านมามีงานวิชาการหลายชิ้นที่บอกว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จริงแล้วเป็นปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยของรัฐไทยในแบบปัจจุบัน ที่ไม่สามารถเผชิญกับความแตกต่างทางศาสนาและชาติพันธุ์ได้

ฉะนั้นเราต้องการรัฐที่มีความแยกย่อย ยืดหยุ่น มีการใช้อำนาจอธิปไตยที่จะโอบรับความแตกต่างหลากหลายได้ สามารถจินตนาการถึงการเมืองประเภทต่างๆ ได้ เช่น ประเทศไทยอาจจะไม่จำเป็นต้องมีรัฐเดี่ยวหรือแบบรวมศูนย์ ดิฉินหวังว่าในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ เราจะมีพื้นที่จะสามารถอภิปรายเรื่องนี้ได้ เราจะต้องทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราจะถกเถียงกันในมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญที่เราจะแก้ไขได้โดยตรง ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตราที่ 1 ด้วยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขอบคุณค่ะ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน