ครม.อนุมัติเงียบซื้อเรือดำน้ำ 13,500 ล้าน “ไก่อู”ยันไม่มีลับลมคมในบิ๊กป้อมสวนโพลเศรษฐกิจดีขึ้น ลั่นรัฐบาลไม่มีขาลง ยันกก.ยุทธศาสตร์ฯต้องมี “ผบ.” วิลาศเผยไล่”ธาริต”ออกตั้งแต่ 3 เม.ย. ตัดสินแล้วแจกใบปลิวโหวตโน ศาลเชียงใหม่ยกฟ้อง ชี้ไม่ขัดพ.ร.บ.ประชามติ “อนุสร” ตบเด็กเสิร์ฟเรียกป๋า ผิดจริยธรรมไม่ร้ายแรง มติสปท.แค่ว่ากล่าวตักเตือน

ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำแล้ว

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ อาทิ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติบาห์เรน ตามกำหนดเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-26 เม.ย.

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ Yuan Class S26T จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 1 ลำ 13,500 ล้านบาท ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นคนนำโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมครม.ด้วยตัวเอง หลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ หลังจากนี้พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย จะเดินทางไปเยือนจีนเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีในเร็ววันนี้

ไก่อูยันเรือดำน้ำไม่มีลับลมคมใน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ตามที่กองทัพเรือเสนอ ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. ว่า ครม.มีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวจริง โดยจัดซื้อเรือดำน้ำหยวนคลาส เอส 26 ที (Yuan Class S26T) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่มีอะไรเป็นลับลมคมใน ซึ่งการจัดซื้อเป็นงบผูกพัน ไม่ได้จ่ายเงินครั้งเดียว แต่จะทยอยจ่าย ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในที่ประชุมว่า มีความจำเป็นต้องจัดซื้อ เพราะเป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ ไม่ใช่อยากได้ตามประเทศอื่น แต่กองทัพเรือประเมินจากภัยคุกคามของประเทศที่มีอาณาเขตติดกับไทย ประเมินจากความมั่นคงทางท้องทะเล จึงต้องมีการศึกษาแนวทางการป้องกันทางทะเล เพื่อการป้องกันภัยคุกคามที่มีศักยภาพเหนือกว่า

“ประเทศเราอยู่ติดทะเล วันหน้าไม่มีสิ่งที่แน่นอน เราจึงต้องมีศักยภาพเพื่อป้องกันภัย และการสั่งซื้อไม่ใช่ว่าอนุมัติไปแล้วจะได้ใน 3 – 5 วัน แต่ต้องรอหลายปี ทั้งนี้ เป็นการซื้อลำเดียวก่อน ส่วนลำต่อไปอยู่ที่กองทัพเรือ อย่างไรก็ตามที่โฆษกไม่ได้แถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สุดหรือมุมแดง และเป็นโหมดงานด้านความมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องแถลง แต่ยืนยันว่าไม่มีลับลมคมใน” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

ย้ำรักษาผลประโยชน์ทางทะเล

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มีพล.อ.ประวิตร เป็นประธาน โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพและหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมว่า พล.อ. ประวิตร ได้เน้นย้ำเรื่องการสนับสนุนการเตรียมการสร้างปรองดอง และเน้นย้ำให้น้อมนำพระราโชวาทของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา นำไปถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับทราบ พร้อมทั้งน้อมนำเป็นหลักในการปฏิบัติงาน พร้อมกันนี้ได้กำชับให้หน่วย ขึ้นตรงกระทรวงและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ศึกษาและทำความเข้าใจในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ในภาพรวมและศึกษาความเชื่อมโยงของกฎหมายต่างๆ

พล.ต.คงชีพกล่าวว่า นอกจากนี้พล.อ. ประวิตรได้เน้นย้ำรื่องการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ รัฐบาลพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมโดยไม่จำกัดเฉพาะประเทศใด แต่ต้องครอบคลุมผลประโยชน์ที่ได้รับในราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นไปตามแผนงานและความต้องการที่แท้จริงของ เหล่าทัพและต้องโปร่งใส สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวและสภาพแวดล้อมความมั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศรอบบ้านในอาเซียนมีใช้เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางทะเล และใช้เป็นพลังอำนาจทางทหารเพื่อต่อรอง เพื่อผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม

ป้อมลั่นรัฐบาลไม่มีขาลง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ระบุเศรษฐกิจย่ำแย่ทำคะแนนนิยมของรัฐบาลลดลงว่า รัฐบาลทุ่มเทแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ตนเชื่อว่าคะแนนจะไม่ตก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในอาเซียน ไทยมีเศรษฐกิจที่ดี จะมีเพียงประชาชนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งเรามองว่าวันนี้รัฐบาลจัดสรรช่วยเหลืออาจลงไปไม่ถึงหรือลงช้าไป แต่การส่งออกและการค้าขายกับต่างประเทศเรามีทิศทางดีขึ้น ยืนยันรัฐบาลไม่มีขาลง เพราะรัฐมนตรีทุกกระทรวงทุ่มเทการทำงานทุกอย่าง อีกทั้งตนยังมองไม่เห็นว่ามีอะไรที่ไม่ก้าวหน้า หากมี ก็ขอให้สื่อไปหามาว่าอะไร ที่ผ่านมานายกฯกำกับดูแลด้วยตนเอง และรัฐมนตรีทุกกระทรวงก็ทำงานหนัก

“เรื่องเศรษฐกิจจะพอใจทั้งหมดไม่ได้ เพราะต้องดูภาพรวมทั้งโลกด้วย แต่เอาไปเทียบกับประเทศอื่น เราไม่มีอะไรเสียหาย เชื่อว่าประชาชนอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้นกว่านี้ แต่การปรับครม.ทีมเศรษฐกิจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เพราะรัฐมนตรีทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเท และหาวิธีการทุกอย่างมาดำเนินการ รวมทั้งนายกฯทำทุกเรื่องในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปข้างหน้าได้” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ยันกก.ยุทธศาสตร์ต้องมี”ผบ.”

พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตสัดส่วนปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นคณะกรรมการในร่างพ.ร.บ. ยุทธศาสตร์ชาติที่มีมากเกินไปว่า ผบ.เหล่าทัพมีแค่ 5-6 คน ไม่ได้มีจำนวนมากกว่านี้ การที่มีผบ.เหล่าทัพเข้าไปเป็นคณะกรรมการเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เนื่องจากบ้านเมืองเรา ถ้าให้ทหารรับรู้รับทราบและเดินไปด้วยกันกับประชาชน หรือนักวิชาการ ตนคิดว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะยุทธศาสตร์ชาติเราต้องร่วมมือกัน

“ผมคิดว่ามันดีที่จะให้ผบ.เหล่าทัพเข้าไปรับรู้รับทราบ และรู้ว่าสิ่งที่เขาทำเพื่ออะไร ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ผมยืนยันว่าจำเป็นว่าต้องมีผบ.เหล่าทัพเป็นคณะกรรมการในกฎหมายฉบับนี้ ที่ผ่านมาปัญหาเกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจกัน ถ้ามีผบ.เหล่าทัพก็ยังช่วยเสนอความคิดเห็นได้ และนักวิชาการสามารถติงผบ.เหล่าทัพได้ ทุกอย่างต้องร่วมมือกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย” รองนายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่าคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจควบคุมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตามกฎหมาย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องดำเนินการตามกฎหมายฉบับนี้ โดยกฎหมายเขียนไว้กว้างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ ซึ่งไม่ได้เขียนว่าต้องทำแบบนั้น ต้องทำแบบนี้ และกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นการป้องกันรัฐประหาร เพราะระหว่างนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ และทหารต้องตกลงกัน ถ้าคุยกันได้ คนที่ได้ประโยชน์คือประชาชน ซึ่งตนคิดว่าเขาคิดดีแล้ว ถ้าคิดไม่ดีคงไม่ทำแบบนี้

เผยไล่”ธาริต”ออกตั้งแต่ 3 เม.ย.

วันเดียวกันนี้ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ ส่งหนังสือชี้แจงถึงสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีหนังสือแจ้งให้ลงโทษไล่นายธาริตออกจากราชการ จากความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติว่า เรื่องนี้ดำเนินการตามที่ประธานป.ป.ช.แจ้ง กรณีนี้เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษตามที่กำหนดในมาตรา 80(4) โดยไม่ต้องดำเนินการตามกฎหมายอื่น ประกอบกับที่ผ่านมามีมติครม.กำหนดไว้ว่า การทุจริตต่อหน้าที่ราชการเป็นความผิดร้ายแรง ควรลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2560

7 น.ศ.รับข้อหาละเมิดศาล

ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น กลุ่มนักศึกษา กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง รวม 7 คน พร้อมทนายความ ได้เดินทางมารายงานตัวตามหมายเรียกของศาล จ.ขอนแก่น ลงวันที่ 13 มี.ค.2560 คดีหมายเลขดำที่ ลม.1/2560 ความแพ่ง ละเมิดอำนาจศาล ระหว่างผอ.สำนักอำนวยการประจำศาล จ.ขอนแก่น ผู้กล่าวหากับกลุ่มบุคคลที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล (ตามคลิปวิดีโอ) ผู้ถูกกล่าวหา ฐานความผิดละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาล จ.ขอนแก่น นัดให้มารับทราบข้อกล่าวหา

จากจัดกิจกรรมแสดงออกทางสัญลักษณ์เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ในช่วงที่ศาลเบิกตัวนายจตุรภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องหาตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มารับทราบข้อกล่าวหาและแถลงเปิดคดี หลังจากอัยการ จ.ขอนแก่น ยื่นฟ้องต่อศาล จ.ขอนแก่น

ให้ประกันคนละ 5 หมื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนักศึกษาทั้ง 7 คน พร้อมทนายความอยู่ระหว่างการรับทราบข้อกล่าวหา ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 6 โดยศาลไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง อย่างไรก็ดี นายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว 1 ใน 7 ที่ถูกหมายเรียก ได้มอบหมายผู้แทนมาเลื่อนโดยให้เหตุผลติดสอบ ในสถาบันการศึกษาที่ยังคงศึกษาอยู่ ขณะที่ผู้มาให้กำลังใจต่างปักหลักบริเวณชั้นล่างของศาล และด้านหน้าห้องพิจารณาคดี ทั้งนี้ก่อนเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา กลุ่มนักศึกษาทั้งหมดยังคงจัดกิจกรรมเดินเพื่อสิทธิชีวิตนักศึกษา ด้วยการเดินเท้าจากด้านหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น มายังศาล จ.ขอนแก่น

นายสุทธิเกียรติ คชโส ทนายความ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนซึ่งเป็นนักศึกษา ได้มารายงานตัวต่อศาลเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกทั้งหมด 7 คน วันนี้มีมารายงานตัว 6 คนมีเพียงจ่านิว เท่านั้นที่ขอเลื่อนด้วยเหตุผลติดภารกิจเรื่องการศึกษา ซึ่งศาลได้สอบถามในเบื้องต้น พร้อมทั้งนัดพิจารณาไต่สวนคดีนัดแรกในวันที่ 31 พ.ค.นี้

“ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธ และยื่นขอประกันตัวไปด้วยวงเงินคนละ 50,000 บาท ทั้งหมด 6 คน เป็นเงิน 300,000 บาท แต่มีอาจารย์ ระดับ ดร. ซึ่งดูแลนักศึกษากลุ่ม ดังกล่าว 2 ท่านใช้ตำแหน่งยื่นขอประกันตัว ซึ่งศาลพิจารณาและอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ จากนี้ไปภายใน 15 วัน ทีมทนายต้องนำคำให้การนำส่งต่อศาลตามกระบวนการพิจารณาคดี” นายสุทธิเกียรติกล่าว

ศาลยกฟ้องคดีใบปลิวโหวตโน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กไอลอว์ได้เผยแพร่ข้อความ คดีแรกประชามติ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีแจกใบปลิวโหวตโน ที่เชียงใหม่ ระบุใบปลิวไม่อาจชักจูงใจ คนอายุ 18 ปีคิดเองได้ โดยระบุว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีของนายสามารถ ขวัญชัย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดี ข้อหาตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2559 มาตรา 61(1) และวรรคสอง จากกรณีแจกใบปลิว Vote No พร้อมรูปสัญลักษณ์ ชูสามนิ้วไปเสียบบริเวณที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ 10 คัน ในลานจอดรถของห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า จ.เชียงใหม่ ก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลังถูกจับกุมนายสามารถส่งไปฝากขังในเรือนจำ 9 วัน ก่อนได้ประกันตัวระหว่างสู้คดี

วันนี้จำเลยพร้อมทนายความเดินทางมาศาล โดยมีเพื่อนมาให้กำลังใจ 4 คน พร้อม ผู้สังเกตการณ์อีก 6 คน ศาลได้อ่านคำพิพากษา สรุปเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61(1) และวรรคสอง ต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการคือ 1.ก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2.มีการเผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือในช่องทางอื่นใด 3.มีลักษณะที่ผิดจากข้อเท็จจริงหรือรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ และ 4.จะต้องมีเจตนาพิเศษคือ เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง การกระทำจะเป็นความผิดได้ ต้องเข้าองค์ประกอบความผิดทั้งสี่ประการ

ระบุใบปลิวจูงใจผู้มีสิทธิไม่ได้

ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อความจากใบปลิวที่ว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” แล้ว ตามพจนานุกรมคำว่า เผด็จการหมายถึงการใช้อำนาจบริหารการปกครองประเทศอย่างเด็ดขาด และคำว่าพินาศ หมายถึงทำให้หมดสิ้นไป สูญสลายไป เมื่อนำมารวมกันแล้ว มีลักษณะเป็นความหมายเชิงนามธรรมทั่วๆไป ไม่ได้มีความหมายถึงร่างรัฐธรรมนูญ และแม้จะตีความหมายว่าถ้อยคำดังกล่าวหมายถึงรัฐบาลที่บริหารประเทศขณะนั้นได้ แต่ไม่อาจตีความให้เกี่ยวข้องถึงการออกเสียงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญได้ เพราะรัฐบาลไม่ใช่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบกับผู้มีสิทธิไปลงประชามตินั้นมีอายุ 18 ปี บริบูรณ์ ย่อมมีวุฒิภาวะพอจะตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องเกิดความเห็นคล้อยตาม ข้อความในใบปลิวจึงไม่อาจจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือไปใช้สิทธิออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง คำว่า “เผด็จ การจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” ยังเป็นคำที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และใช้กันทั่วไปในหมู่ผู้รักประชาธิปไตย ก่อนที่จำเลยจะนำมาใช้ในใบปลิว

อีกทั้งเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.ประชามติ ยังมิใช่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ของทั้งฝ่ายที่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ดังในมาตรา 7 ของพ.ร.บ.ประชามติที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกเสียงโดยสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย” โดยเฉพาะมาตรา 61 ในพ.ร.บ.ประชามติที่มีโทษทางอาญานั้น ต้องตีความกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่อาจตีความให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินความจำเป็น

ชี้ไม่ผิดพรบ.ประชามติ

แม้โจทก์จะมีพยานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเบิกความยืนยันว่าข้อความดังกล่าว มีลักษณะรุนแรง ปลุกระดมทางการเมืองก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โดยไม่มีการนำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา, กกต. หรือกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เข้ามาเบิกความยืนยันในประเด็นนี้ จึงฟังไม่ได้น้ำหนัก การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ประชามติ ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลย และใบปลิวในคดีนี้จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิด เห็นสมควรให้คืนแก่จำเลย

หลังฟังคำพิพากษา นายสามารถกล่าวว่าขอบคุณทุกๆ คนที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือตน หากไม่ได้ทุกคนมาช่วยเหลือ ตนมืดแปดด้านจริงๆ เมื่อฟังคำพิพากษาแล้ว รู้สึกว่าความเป็นธรรมยังพอหาได้ในประเทศนี้ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็เกิดบรรทัดฐานหรือประกายไฟเล็กๆ ให้สังคม ให้ผู้คนได้เห็นความเป็นประชาธิปไตย ชัยชนะครั้งนี้เป็นอีกขึ้นหนึ่งของฝ่ายประชาธิป ไตยเพื่อต่อสู้กันต่อไป

ทั้งนี้ จากการติดตามคดีในช่วงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญของศูนย์ทนาย ความเพื่อสิทธิมนุษยชน คดีนี้เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาในข้อหาพ.ร.บ.ประชามติคดีแรก ที่ศาลมีคำพิพากษาออกมา

ทนายแม้วจ่อยื่นอุทธรณ์ภาษีหุ้น

รายงานข่าวเปิดเผยถึงการใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กรณีกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ทีมทนายความของนายทักษิณเตรียมยื่นอุทธรณ์เรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภาษีในวันที่ 25 เม.ย.นี้ ที่กรมสรรพากร โดยเนื้อหาที่อุทธรณ์จะยืนยันเช่นเดิมว่านายทักษิณไม่มีภาระภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ อีกทั้งเรื่องดังกล่าวขาดอายุความและจบสิ้นไปแล้วตั้งแต่ปี 2555 รวมถึงกระบวนการออกหมายเรียกประเมินภาษีก็มิชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม หลังการยื่นอุทธรณ์ ผลการพิจารณาจะออกมาเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภาษี ซึ่งไม่มีการกำหนดกรอบเวลา โดยคณะกรรมการจะพิจารณาว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ หากไม่เห็นชอบก็ต้องไปสู้กันที่ศาลภาษีอากรกลางต่อไป

วิษณุไม่กังวลกม.ลูก

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีหลายฝ่ายกังวลว่ากฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญจะเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลา ว่า กฎหมายลูกเข้าสภาและผ่านวาระแรกไปแล้วสองฉบับ จะมาเป็นห่วงอะไร การพิจารณามีเวลา 2 เดือน หากแก้ไขตรงไหนก็ไปตั้งกรรมาธิการร่วมพิจารณาอีก 1 เดือน ฉะนั้นยังมีเวลา ส่วนที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นกันมากมายขณะนี้ตน ไม่เป็นห่วง เพราะที่ผ่านมากว่ากฎหมายจะผ่านการพิจารณาก็มาโจมตีหรือถล่มกันมากมาย ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจงกันไปจนเข้าใจเรื่องก็จบ

เมื่อถามถึงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สามารถแก้ไขได้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ได้ โดยสามารถแก้ไขได้ใน 60 วันและไม่ได้กังวลอะไร เมื่อกฎหมายเข้าสภาก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว บางฉบับโกลาหลมากกว่านี้มันก็ยังมีทางออกและผ่านไปได้ เมื่อเข้าสภาทุกอย่างก็จบ ส่วนที่มีข้อถกเถียงเรื่องค่าสมาชิกพรรคคนละ 100 บาทต่อปี ที่พรรคการเมืองไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แต่ตนเห็นด้วยเพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าอัตราเท่าไรจึงจะเหมาะสม เรื่องนี้ต้องตั้งต้นที่ว่าเราต้องการให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน ซึ่งการเสียเงินแสดงให้เห็นถึงการที่ประชาชนได้เป็นเจ้าของพรรคการเมืองนั้นๆ ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ออกมาระบุว่าการเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นช้าสุดปลายปี 2561 นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ในส่วนของรัฐบาล นายกฯพูดเสมอว่าเมื่อไรก็เมื่อนั้น เวลานี้ทุกอย่างก็เดินหน้าอยู่ไม่ได้มีปัญหาอะไร กฎหมายลูกที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง 4 ฉบับจาก 10 ฉบับก็เข้าสภาไปแล้ว 2 ฉบับก็ถือว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างยังเหมือนเดิม

มีชัยปัดเอื้อกรธ.นั่งศาลรธน.

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวถึงข้อท้วงติงจากหลายฝ่ายเรื่องคุณสมบัติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าเอื้อให้กับผู้ที่เป็นกรธ.ในขณะนี้ว่า ในกรธ.ส่วนใหญ่ไปดำรงตำแหน่งนี้ไม่ได้ และในประเทศไทยมีคนระดับศาสตราจารย์อีกมากที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ ตนเห็นว่าคนที่ออกมาคิดแบบนี้ ชีวิตนี้คงจะลำบาก มีแต่ความทุกข์ใส่ตัว ขณะนี้รัฐธรรมนูญใหม่ มีผลบังคับใช้ไปแล้ว ตนไม่เข้าใจจะมาพูดอะไรกัน กรธ.ไม่สามารถ เขียนกฎหมายลูกขึ้นมาเองได้ ต้องอิงตามรัฐธรรมนูญ

นายมีชัยกล่าวถึงการเก็บเงินค่าสมาชิกพรรคว่า ขอย้ำว่าเป็นการทำให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพรรค ตนเข้าใจดีว่าเวลามีอะไรใหม่เข้ามาคนมักกังวล ในรัฐธรรมนูญมีกลไกที่กำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายเอาไว้ก่อน รัฐก็ถูกกำหนดหน้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข พรรคก็ต้องขยับขึ้นมาให้เหมาะสมเช่นกัน

พท.ชั่งใจส่งความเห็นให้กมธ.

ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ฐานะคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่กมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ชวนให้นักการเมืองส่งเอกสารความเห็นในสิ่งที่อยากแก้ในชั้นกมธ.ว่า ความจริงแล้วมีหลายวิธีที่จะให้พรรคการเมืองเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น กมธ.คณะนี้ เป็น กมธ.วิสามัญ น่าจะให้คนจากพรรคการเมืองต่างๆ หรือตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ เข้าไปนั่งเป็น กมธ. แต่ที่ได้ยินมาคือเขาบอกว่ามีเวลาน้อย มีเวลาเพียง 45 วันเท่านั้น ก็ให้ส่งเป็นเอกสารความเห็นไปยัง กมธ.แทน ซึ่งเรากำลังชั่งใจอยู่ว่าหากส่งเอกสารไปจะเป็นประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเขามีธงอยู่แล้ว

“อย่างไรก็ตาม ทางกมธ.ยังไม่ได้สอบถามมาอย่างเป็นทางการ หรือไม่ได้ส่งหนังสือขอรับฟังความเห็นจากทางพรรคแต่อย่างใด จึงกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะส่งเอกสารความเห็นไปหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาได้แสดงความเห็นผ่านสื่อไปจำนวนมากแล้ว” นายสามารถกล่าว

“บิ๊กเจี๊ยบ”เซ็นโยกย้าย260ผู้พัน

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ลงนามในคำสั่งกองทัพบกที่ 223/2560 เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับระดับเงินเดือน 260 นาย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำสั่งนี้เป็นการขยับนายทหารระดับผู้บังคับกองพันยศ พ.อ. และพ.ท. ทั้งในส่วนของทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ทหารช่าง ทหารสื่อสาร และทหารสายรบพิเศษ มีตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ

พ.อ.อนุสรณ์ สิทธิสกุลรัตน์ เสธ.กรมรบพิเศษที่ 3 เป็นรองผบ.กรมรบพิเศษที่ 3, พ.อ.อินทนนท์ รัตนกาฬ ผบ.กองพันปฏิบัติการพิเศษ หรือหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ 90 (ฉก.90) อดีตนายทหารคนสนิทของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นเสธ.กรมรบพิเศษที่ 3, พ.อ.โสฬส รัตนผ่องใส หัวหน้าสงครามพิเศษ กองพลรบพิเศษที่ 1 เป็นผบ.กองพันปฏิบัติการพิเศษ หรือฉก.90 และพ.อ.กัมพล เทียนทองดี รองผบ.กรมปฏิบัติการพิเศษ เป็นผบ.กองพันจู่โจม

ขณะที่ในพื้นที่ภาคใต้ พ.อ.ชลัช ศรีวิเชียร ผบ.กรมทหารพรานที่ 47 เป็นรองเสธ. มทบ. 41, พ.อ.อภิชัย เรืองฤทธิ์ ผบ.กองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 เป็นผบ.กรมทหารพรานที่ 47

“เต้น”จัดทอล์กโชว์หาทุนให้น.ร.

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า จากที่ตนดำเนินโครงการด้วยรักและ แบ่งปัน โดยรับบริจาคเงินจากบุคคลทั่วไป เพื่อมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนที่ขาดแคลนทุน ทุนละ 5,000 บาท มาตั้งแต่เดือนเม.ย. 2559 จนถึงขณะนี้โอนทุนการศึกษาไปแล้ว 655 ทุน แยกเป็นจากภาคเหนือ 60 ทุน ภาคอีสาน 282 ทุน ภาคกลางและกรุงเทพฯ 249 ทุน และภาคใต้ 64 ทุน เป็นเงิน 3,275,000 บาท และยังมีจดหมายขอทุนมายังโครงการอีกมาก ดังนั้น ตนจึงจะจัดงานเพื่อระดมทุนเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป จัดงานในวันที่ 28 พ.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป มีการแสดงดนตรีโดย เสก โลโซ ฮาร์ต สุทธิพงษ์ ทัดพิทักษ์กุล และทอล์กโชว์โดยตน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่จะทอล์กโชว์โดยไม่มีเรื่องการเมือง แต่จะพูดเรื่องทั่วไปที่อยู่ในความสนใจของสังคม นอกจากนี้ยังมีการแสดงจากนักเรียนที่ได้รับทุนในโครงการและแขกรับเชิญพิเศษอีกด้วย

นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า งานจะจัดที่หอประชุมกองทัพอากาศ ดอนเมือง จำหน่ายบัตรใบละ 1,000 บาท สำรองที่นั่งที่โทร. 09-2712-8989 ได้ตั้งแต่วันนี้ ยืนยันว่างานนี้ไม่มีประเด็นการเมือง แต่เป็นความตั้งใจที่จะเดินหน้าโครงการต่อไปให้ได้มากที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน