ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.30 น. วันที่ 25 เม.ย.2560 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 4 ช.ม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ แห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-26 เมษายน 2560

นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชานุญาตฯให้เข้าเฝ้าในวันนี้ ทั้งนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับบาห์เรนในฐานะมิตรประเทศที่สาคัญในตะวันออกกลาง และยังเป็นประเทศแรกในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ได้มีโอกาสมาเยือน ซึ่งตรงกับครบรอบ 40 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างสองประเทศ ซึ่งความสัมพันธ์ระดับพระราชวงศ์ของทั้งสองประเทศ มีบทบาทสำคัญยิ่งในการส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่างไทยกับบาห์เรน

นายกรัฐมนตรียังชื่นชมนโยบาย “Economic Vision 2030” ของบาห์เรน ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีแห่ง บาห์เรนทรงมีบทบาทสาคัญในการก่อตั้ง เพื่อความมั่งคั่ง ของชาวบาห์เรน บนพื้นฐานความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน

สอดคล้องกับประเทศไทยที่ได้ริเริ่มนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งเน้นนวัตกรรม ความรู้ เทคโนโลยี และการสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางสังคมและป้องกันการติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลาง

ดังนั้น จึงเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันผลักดันความร่วมมือเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันได้ โดยเฉพาะบาห์เรนสามารถสนับสนุนไทยในการขยายตลาดสินค้าฮาลาล ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกชั้นนำของโลก ซึ่งไทยพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับบาห์เรนในประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญอีกด้วย

นอกจากนี้ ไทยยังพร้อมและยินดีต้อนรับและอำนวย ความสะดวกต่อชาวบาห์เรนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา ท่องเที่ยว และชาวบาห์เรนที่เดินทางมารับการรักษาพยาบาลด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถวายรายงานถึงความสำเร็จของการหารือทวิภาคี โดยได้มีการลงนามพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ซึ่งจะเป็นกลไกสาคัญที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่าง และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับบาห์เรน

การลงนามพิธีสารแก้ไขอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร ไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน

หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมมัสยิด Al Fateh (อัล-ฟาเต๊ะ) โดยกล่าวกับผู้นำศาสนา ว่า แม้จะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็เลื่อมใสในศาสนาอิสลาม ที่ผ่านมารัฐบาลให้การสนับสนุนศาสนกิจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดพิธีลดศีลอดในเดือนรอมฎอนที่ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสนี้นายกฯได้ร่วมบริจาคเงินให้แก่มัสยิดด้วย

 

เวลา 18.00 น. เวลาท้องถิ่น นายกฯรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางกลับประเทศไทย โดยนายกฯบาห์เรน เสด็จมาส่งที่สนามบินนานาชาติบาห์เรน ด้วยพระองค์เอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน