“กลาโหม-บินไทย” ช่วยยัน บิ๊กป้อมชี้แจงเอง ทัวร์ 20 ล้าน จ่ายจริงไม่ถึง ไม่มีอะไรเหมือนเงินกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา “ปชป.-พท.”แนะผู้มีอำนาจควรประหยัดหน่อย ปลัดคลังส่งเรื่องฟ้อง”ปู” 3.5หมื่นล้านแล้ว รอแค่”บิ๊กตู่”มีคำสั่งลงมา ผบ.ทบ.ใหม่ลั่นไม่มีปฏิวัติซ้อน “มีชัย”ชี้ รธน.ให้อำนาจรัฐบาลคสช. ออกพ.ร.ฎ.ยุบสภาและใช้ม.44ได้ พร้อมย้อนถามควรทำหรือไม่ “วิษณุ”มาใหม่ เชื่อส.ส.โหวตเลือกนายกฯกันเองได้

“ตู่”โวยอย่าโยง-คดีน้องก็ไปสอบ
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวเปิดงาน “ประชาสังคมเข้มแข็ง สู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” โดยระบุว่า การทำงานวันนี้เพื่อสร้างประชาสังคมที่เข้มแข็ง นำไปสู่ประชา ธิปไตยที่สมบูรณ์ ตนมุ่งหวังการรวมกลุ่มของประชาชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมกลุ่มเพื่อสร้างสรรค์ความดี ไม่ใช่เพื่อสร้างความขัดแย้ง

“ที่ผ่านมาทุกอย่างมีกฎหมาย แต่ไม่ทำอย่างจริงจัง มีผู้รับมีผู้ให้ นำไปสู่คอร์รัปชั่น และเรื่องนี้อย่าเอาแต่ละคดีมาปนกัน เพราะคนละเรื่องกัน ศาลเป็นผู้นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตัดสิน ผลเป็นอย่างไรก็ต้องตามนั้น ไม่ใช่ไม่รับการตัดสินแล้วบอกว่าถูกรังแก อยากให้ช่วยกันสร้างกระบวนการยุติธรรมชัดเจนขึ้น ไม่ว่าตัวผม ญาติพี่น้อง ก็ไปสอบกันมา ไม่ใช่มาโยงกัน ผมยังไม่เคยโยงถึงคนที่อยู่ต่างประเทศ คดีใครก็คดีมันว่ากันไป อย่าไปสร้างการรับรู้แบบนี้ มันจะทำให้คนสับสนวุ่นวายไปหมด ถ้าเขาไม่ผิดจะว่าอย่างไร ก็มีศาลยุติธรรม แต่ถ้าผิดขึ้นมา ก็อ้างว่ารังแก ทำไมถึงคิดแบบนี้ ผมเข้ามาแบบนี้ คิดแบบนี้ ไม่ได้เข้าข้างใคร ผมต้องอยู่ให้ได้เพื่อทำงาน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

บ่น”ทำสมองผมเสียหาย”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้กำลังปรับกฎหมาย แต่กลับไม่ยอม หาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ยุบมันวันนี้เลย กลับไปที่เก่า ตนก็พร้อม ตนไม่ได้เข้ามาทำร้ายใคร เข้ามาไม่เคยทำให้ใครตายสักคนด้วยอำนาจของผม เป็นความแตกต่าง ทุกสมัย ทุกรัฐบาลแตกต่างกันหมด และด้วยกลไกประชาธิปไตย แต่ทุกอย่างเขาคิดกัน ตนไม่ได้สั่งให้เขาคิด เพราะเขากลัวจะเกิดแบบเดิม วันนี้ถือว่ามาเปิดใจ เปิดจนแหวะไปหมดแล้ว
“มันสับสนอลหม่านไปหมด ทำให้สมองผมเสียหาย โมโหบ้าง หงุดหงิดบ้าง ด่าผม โครมๆ ทุกวัน ผมก็มาคิด ให้ผมยิ้มรับหรือ ที่ผมหงุดหงิดเพราะต้องใช้สมอง 2 ปีครึ่งแล้ว แทบจะอ้วก ไม่อยากพูด ทุกวันกินข้าวไม่ลง เพราะเบื่อกับปัญหาเก่าๆ” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

ปัดไม่ได้บี้แค่คดีจำนำข้าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลหรือเป็นนายกฯ ก็ต้องใช้ทุกกรณี ที่ผ่านมาไม่ใช้กันเอง ถ้าตนไม่ทำก็จะโดนอีก ส่วนเรื่องการรับผิดทางแพ่งก็ไปว่ากันตามกระบวนการ ตนยึดว่าต้องทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 2 ปี รัฐบาลมีหน้าที่รวบรวมคดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และทุกคนมีสิทธิ์ต่อรอง ฟ้องศาลปกครองก็ไปสู้กัน แต่หากไม่นำเข้ากระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างจะกลับไปเป็นแบบเดิม ที่ผ่านมาใช้พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดไปแล้วกว่า 5 พันคดี ไม่ใช่เอาผิดเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว
“ไม่ได้ทำเพื่อความสะใจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกพ้อง นับวันก็กลับมาที่เดิมว่าไม่เป็นธรรม โยนกลับมาพวกผม พวกพ้องทุจริต ขอให้แยกให้ออก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ลั่นไม่ต้องตั้งกก.สอบทัวร์ป้อม
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมรมว.กลาโหม ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกาของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ที่สูงกว่า 20 ล้านบาทว่า ถ้าอยากตรวจสอบ ก็ขอให้ไปตรวจสอบมา เขาชี้แจงได้ก็ชี้แจง ไปดูด้วยว่าเขาทำอะไรกันอย่างไร รายละเอียดก็มีการชี้แจงมาแล้ว
เมื่อถามว่าไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า “จะไปตั้งด้วยอะไร ทำไมถึงต้องตั้ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะได้ความชัดเจนและข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำงานของระบบอยู่แล้ว อย่ามาจับผิดจับถูกในเรื่องเหล่านี้ ใครอยากฟ้องร้องก็ไปฟ้องเอา ผมไม่ได้อารมณ์เสีย แต่อย่าเอาปัญหาเหล่านี้มาถาม อยากฟ้องก็ไปฟ้อง ไม่ใช่อยู่ดีๆ นายกฯจะไปฟ้องเรื่องนี้ ตรวจสอบเรื่องนั้น มันมีหน่วยงานทำหน้าที่อยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

“ตู่”บินรัสเซีย-กินบนเครื่อง1.7ล.
เว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศราคากลางจัดซื้อ-จัดจ้าง ประจำปี พ.ศ.2559 ในส่วนของการรับขนคนโดยสารทางอากาศโดยเครื่องบินพาณิชย์ คณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเข้าร่วมประชุมสุด ยอดอาเซียน-สหพันธรัฐรัสเซีย สมัยพิเศษ ณ เมืองโซซี สหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ 17-21 พ.ค. 2559 เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก-เมืองโซซี-กรุงเทพฯ ระบุรวมเป็นเงิน 16,234,500 บาท
แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบิน 1,833,300 บาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติการภาคพื้น เป็นเงิน 4,303,200 บาท ค่าเชื้อเพลิงอากาศยาน 3,196,800 บาท ค่าบุคลากรการบินและที่พัก 5,131,200 บาท และค่าอาหารเครื่องดื่มระหว่างบิน 1,770,000 บาท

บิ๊กป้อมแจงปม 20 ล้าน
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงค่าใช้จ่ายเดินทางไปประชุมรมว.กลาโหมอาเซียนที่สหรัฐกว่า 20 ล้านบาทว่า ไม่มีสายการบินใดไปฮาวายโดยตรงและต้องไปต่อเที่ยวบิน ซึ่งเสียเวลา เพราะไปแค่ 3 วัน จึงเสนอไปที่การบินไทย ซึ่งเขาแจ้งรูปแบบการเดินทางในลักษณะเหมาลำ ระบุราคาสูงสุดมาแต่ไม่ได้เก็บราคาเต็ม เหมือนช่วยการบิน คล้ายกับเงินกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา เป็นของราชการช่วยราชการ ไม่เห็นมีอะไร
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า การไปครั้งนี้ สหรัฐต้องการให้เราไปหารือเรื่องก่อการร้าย การก่ออาชญากรรมข้ามชาติ เรื่องไอซิส รวมถึงความมั่นคงทางทะเลที่ได้พูดคุยเรื่องทะเลจีนใต้ ซึ่งสหรัฐได้ชื่นชมไทยในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ประมงผิดกฎหมาย หรือไอยูยู แก้ปัญหาเรื่องการบิน และอยากให้เราดูแลเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าไปครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวเพราะเดินทางบ่ายวันที่ 29 ก.ย.ตามเวลาประเทศไทย ใช้เวลาบิน 17 ชั่วโมง ไปถึงสหรัฐเช้าวันที่ 29 ก.ย.ซึ่งเวลาช้ากว่าไทย จากนั้นพบกับเอกอัครราชทูตไทยและช่วงเย็นจึงประชุม มีงานเลี้ยงเย็น ต่อมาวันที่ 30 ก.ย.ใช้เวลาประชุมทั้งวัน และมีงานเลี้ยงเย็น เมื่อเสร็จงานจึงเดินทางกลับเช้าวันที่ 1 ต.ค.

ยันค่าอาหารใช้ไม่ถึง 6 แสน
เมื่อถามว่าแปลกใจหรือไม่ที่มีการนำเอกสารค่าเครื่องบินจากเว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี(สลน.)มาเปิดเผย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมว่าถูกต้องแล้ว เพื่อความโปร่งใส ไม่แปลกใจ เพราะสลน.เขาตั้งใจเปิดเผยว่าใช้เงินไปอย่างไร เพราะเป็นเงินของประชาชน ต้องชี้แจงความชัดเจน แต่ไม่ได้ใช้ทั้งหมดตามที่ปรากฏ เช่น ค่าอาหารที่ระบุ 6 แสนบาทนั้นก็ใช้ไม่ถึง เพราะคนไม่ได้ไปเต็มลำ จัดอาหารไทย ก๋วยเตี๋ยว ไม่มีอาหารพิเศษ เอาเป็นว่าเราไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้เหยียบน้ำทะเล ลงเครื่อง ทำงานเสร็จก็กลับ ไม่ได้ไปทำอะไรเลย”

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกว่าตกเป็นเป้าถูกตรวจสอบหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ตนคิดว่าตั้งใจจะเล่นงานตน ความจริงไม่มีผลประโยชน์อะไร ไม่มีการรับเงิน เป็นเรื่องของหน่วยงานต่อหน่วยงานไปว่ากัน

กลาโหมชี้เป็นแค่ราคากลาง
ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า สำหรับกรณีของพล.อ.ประวิตรที่เปิดเผยโดยเว็บไซต์สำนักเลขาธิการนายกฯนั้น เรื่องเช่าเหมาลำไปสหรัฐเป็นเรื่องปกติ ไม่มีเอกสารลับอะไรหลุดออกมา เพราะเป็นเอกสารที่เปิดเผยอยู่แล้ว และการเช่าเหมาลำเส้นทางดังกล่าวยังไม่เคยกำหนดราคากลาง จึงให้บริษัทการบินไทยประมาณการค่าใช้จ่ายและเสนอหน่วยงานรัฐจัดทำเป็นราคากลางประกาศให้ทราบ ซึ่งบริษัทการบินไทยคิดค่าใช้จ่ายระหว่างองค์กรของรัฐตามราคาต้นทุน ตรวจสอบได้และจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ส่วนค่าอาหารบริการบนเครื่องบินที่สูงถึง 600,000 บาทนั้นจำเป็นต้องประมาณการไว้สูง แต่หลังเสร็จสิ้นภารกิจจะเบิกตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับค่าน้ำมัน ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
พล.ต.คงชีพยังกล่าวถึงบุคคลที่ร่วมคณะไปกับพล.อ.ประวิตร 38 คนว่า ปกติคณะของพล.อ.ประวิตรไปราชการต่างประเทศมีไม่เกิน 10-15 คนเท่านั้น แต่ครั้งนี้เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยที่เข้าพบพล.อ.ประวิตร ก่อนการเดินทางมาประชุม ซึ่งต้องการให้ปรับบทบาทท่าทีการเข้าพบรมว.กลาโหมสหรัฐ รวมถึงการปรับสมดุลในภูมิภาคต่อการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการบินพลเรือน จึงจัดเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมเดินทางไปด้วย

บินไทยเผยจ้างจริงไม่ถึง 20 ล.
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่หน่วยธุรกิจบริการการบิน (ดี1) บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยกรณีพล.อ.ประวิตรเช่าเครื่องบินของการบินไทยกว่า 20 ล้านบาทว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคากลางที่การบินไทยกำหนดขึ้นมา โดยเทียบเคียงจากการให้บริการของสายการบินอื่นประกอบด้วย เนื่องจากเป็นเส้นทางที่การบินไทยไม่เคยให้บริการมาก่อน ส่วนราคาที่จ่ายจริงยังต้องพิจารณาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่สนามบินปลายทาง เมื่อคำนวณแล้วอาจจะถูกกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ก็ได้ ส่วนการใช้เครื่องบินโอบิ้ง 747-400 ขนาดจัมโบเจ็ตลำใหญ่ เนื่องจากเป็นเครื่องที่ไม่ได้นำมาใช้งาน เป็นเครื่องว่างที่บินได้ระยะไกล แม้จะมีที่นั่งมาก หรือที่นั่งน้อย ราคาค่าเช่าเหมาลำจะไม่แตกต่างกันมากนัก
“ตามระเบียบการให้บริการเครื่องบินเช่าเหมาลำต้องกำหนดราคากลางในใบเสนอราคา คำนวณต้นทุนการให้บริการต่างๆ แต่เส้นทางดังกล่าวเราไม่เคยบิน จึงต้องคำนวณเทียบเคียงกับสายการบิน แต่ราคาดังกล่าวจะไม่ใช่ราคาที่ต้องจ่ายจริง” นางอุษณีย์กล่าว

นิพิฏฐ์เชื่อคนในแฉกันเอง
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพล.อ.ประวิตร ถูกวิจารณ์เรื่องใช้งบฯ 20 ล้านบาท ว่า เชื่อว่า คนนอกไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้แน่นอน ทั้งเรื่องภรรยา และลูกชายของพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม จึงน่าจะมีคนภายในชี้เบาะแสให้คนนอก เพื่อหาข้อมูลมาขยายผลเพิ่มเติม รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางไปฮาวายของพล.อ.ประวิตรด้วย ตนไม่ตกใจ ถือเป็นปกติของผู้ที่มาจากยึดอำนาจ ช่วงท้ายจะมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น อย่าแปลกใจ ตอนนี้ทุกอย่างเดินตามรอยประวัติศาสตร์ ยิ่งอยู่นาน ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งเล็ดลอดออกมา แต่การเช่าเครื่องบินเหมาลำเป็นวิธีปกติถ้าไปในนามรัฐบาลนั้นทำได้ รัฐบาลจากการเลือกตั้งก็ทำแบบนี้ แต่สะท้อนว่าคนที่มาจากการยึดอำนาจก็ไม่ต่างกับคนที่มาจากการเลือกตั้ง และคนที่มาจากการเลือกตั้งจะมีภาษีดีกว่า เพราะเขามาจากประชาชนเลือก
“ถามว่าจะกระทบคะแนนนิยมรัฐบาลหรือไม่ ผมไม่รู้ เราเป็นนักการเมืองมานาน ให้ดูว่าค่าน้ำมัน ค่าอาหาร แจกแจงมาให้ชัดว่าเท่าไร ค่าบริการบางส่วนขอลดราคาได้ ถ้ายังปล่อยอย่างนี้เรื่อยๆ รัฐบาลจะถูกตั้งคำถาม ค่าใช้จ่ายควรน้อยกว่าผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง ผมว่า นายกฯ ไม่ต้องจัดการอะไรเลย ถ้าไม่ประหยัดก็ใช้อย่างนี้ ถามว่ามันผิดไหม คงไม่ผิด ระเบียบเปิดให้ทำได้ แต่ถ้าชาวบ้านยังลำบากอยู่ ถ้าเราลดค่าดำเนินการ ประหยัดให้มันน้อยกว่าหัวละ 6 แสนบาทจะได้หรือไม่” นายนิพิฏฐ์กล่าว

ปึ้งโผล่เย้ยเคยบินใช้แค่ 2 ล้าน
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตอนตนเป็นรองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ เคยเดินทางไปประชุมสำคัญระหว่างประเทศแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วยสายการบินพาณิชย์ทั่วไป เคยไปประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่ฮาวายเช่นกัน เจ้าหน้าที่ ปลัดและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ก็เดินทางโดยเครื่องบินพาณิชย์ตามปกติ ใช้เงินไม่น่าจะถึง 2 ล้านบาท ทั้งที่เศรษฐกิจของไทยขณะนั้นดีกว่าตอนนี้มาก แต่รัฐบาล คสช. กลับใช้จ่ายเงินเดินทางไปประชุมสูงลิ่ว ถ้าเอาไปช่วยคนยากจนคงไม่มีใครว่าได้ ขอให้รัฐบาลคสช.ตระหนักและคิดให้รอบคอบในการใช้จ่ายเงินงบประมาณในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีแบบทุกวันนี้ ซึ่งรายได้ของรัฐไม่พอกับรายจ่าย และอยู่ในช่วงที่รัฐบาลกระเป๋าแห้ง ต้องกู้เงินมาใช้จ่ายและจัดเก็บภาษีทุกรูปแบบ
“ตอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศตามคำเชิญ และนำนักธุรกิจร่วมคณะไปด้วย เพื่อประชุมส่งเสริมการค้าขายการลงทุนระหว่างประเทศและส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ร่วม 42 ประเทศ รวมค่าใช้จ่ายแล้วมาหารเฉลี่ยต่อครั้ง ก็แค่ 6-7 ล้านบาท ไม่ถึง 20 ล้านบาท และประโยชน์น่าจะมากกว่ากันแน่ ตอนนั้นยังถูกฝ่ายค้านกระแหนะกระแหน โจมตีว่าใช้เงินหลวงไปมาก สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์” นายสุรพงษ์กล่าว

พท.แนะบริหารงบฯให้ดีกว่านี้
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเด็นคือเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงเช่าเหมาลำเครื่องบินขนาดใหญ่ที่บรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 400 คน ทั้งที่มีคณะไปเพียง 38 คน น่าจะมีทางเลือกอื่นที่ประหยัดงบที่มาจากภาษีของประชาชนและคุ้มค่ามากกว่า เช่น ใช้เครื่องบินขนาดเล็กลง หรือเครื่องบินของกองทัพที่จัดซื้อมาใหม่ เมื่อใช้งบจำนวนมากก็เป็นธรรมดาที่จะถูกวิจารณ์ว่าใช้เงินมากไปหรือไม่
“เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้ผู้ใหญ่เกิดความรอบคอบในการใช้เงินแผ่นดิน และสะท้อนว่าการบริหารจัดการงบฯควรดีกว่านี้ จริงอยู่อาจคิดว่าเดินทางแบบรีบไปรีบกลับ เอาความสะดวกสบายจนลืมพิจารณาทางเลือกอื่น ที่คุ้มค่ามากกว่า แต่อย่าลืมว่าที่ผ่านมาเน้นย้ำให้พอเพียง ให้ประชาชนช่วยประหยัด เพราะงบประมาณมีน้อย แต่การที่ผู้นำไม่นำปฏิบัติให้เห็นก่อน จะให้ประชาชนคิดอย่างไร เพราะเป็นเงินภาษี” นายสามารถกล่าว

ส่งหลักฐานท่วมปี54ตั้งแต่มีค.
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย มายื่นหลักฐานต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ผ่านนายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักการข่าวและกิจการพิเศษ สำนักงานป.ป.ช. โดยเป็นหนังสือออกโดยสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) 3 ฉบับ เพื่อมอบเพิ่มเติมให้ป.ป.ช.ไว้ประกอบการพิจารณาตามคำร้องที่ร้องให้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กรณีไม่บริหารจัดการน้ำในปี 2554
นายเรืองไกรกล่าวว่า ยังมีคนบางกลุ่มให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งที่น้ำเริ่มท่วมตั้งเดือนมี.ค. 2554 ตามหนังสือหลักฐานในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2554 ให้คณะกรรมการอำนวยการ กํากับ ติดตาม การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(คชอ.) ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย และรายงานต่อครม.อย่างต่อเนื่อง และหนังสือสลค.วันที่ 30 มิ.ย.นั้น ครม.ได้สั่งให้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจ.น่าน อันเกิดจากพายุดีเปรสชันไหหม่า รวมทั้งหนังสือสลค. เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2554 ให้ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระดับจังหวัด ติดตามสถานการณ์ของพายุโซนร้อนนกเตน ซึ่งผ่านเวียดนามเข้าไทย ส่งผลให้หลายจังหวัดทางภาคเหนือเกิดอุทกภัย จึงชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเข้าปฏิบัติหน้าที่

เรืองไกรแจงเหตุบี้อภิรดี
นายเรืองไกรกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังยื่นคำร้องพร้อมแนบหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ขอให้ป.ป.ช.ตรวจสอบนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ว่ายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยอ้างถึงบัญชีแสดงทรัพย์สินฯ ที่ยื่นป.ป.ช.กรณีเข้าและพ้นจากตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ และกรณีเข้ารับตำแหน่งรมว.พาณิชย์ โดยเห็นว่าในบัญชีเงินฝากนางอภิรดีมีการถอนเงินในรูปแบบของ TRN บ่งชี้ว่ามีการถือครองบัตรเครดิต แต่เมื่อตรวจสอบบัญชีแสดงทรัพย์สินฯกลับไม่พบข้อมูลดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินอย่างเข็มกลัดเพชรราคา 170,000 บาท ที่ได้มาระหว่างเป็นรมช.พาณิชย์ และมีที่มาแตกต่างจากรายการอื่น จึงขอให้ป.ป.ช.เข้าไปตรวจสอบด้วย และบัญชีเงินฝากอีกบัญชียังพบว่ามีรายการหนึ่งเป็นเงินกว่า 970,000 บาท โดยมีลายมือเขียนไว้ว่าร้านถูกใจ จึงอยากให้ป.ป.ช.ตรวจสอบว่าเงินดังกล่าวได้มาอย่างไร จากใคร และถ้าเป็นเงินพึงประเมินมีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่

เมื่อถามว่าเหตุที่จงใจยื่นตรวจสอบนางอภิรดี เกี่ยวกับกรณีลงนามในหนังสือบังคับทางปกครองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายนักการเมืองและข้าราชการ 6 ราย กรณีทุจริตขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)หรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่าเป็นสาเหตุหนึ่ง เมื่อลงนามในหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากคนอื่น และมั่นใจตัวเลขในหนังสือดังกล่าว ดังนั้น ตัวเลขในบัญชีทรัพย์สินของนางอภิรดีต้องถูกต้องด้วย

คลังรอ”ตู่”ชี้-ฟ้อง”ปู”3.5หมื่นล.
วันเดียวกัน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินทั้งหมดในการเรียกร้องค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ตามที่คณะกรรม การความรับผิดทางแพ่ง ที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง สรุปตัวเลขความเสียหาย 1.78 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้คืน 3.57 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 80 เปอร์เซ็นต์ จะดำเนินการเฉพาะที่พบว่ามีทุจริตจริง ในส่วนของกระทรวงการคลังที่เป็นผู้กู้เงินทั้งหมดในโครงการ ซึ่งดำเนินการตามนโยบาย ไม่ถือว่าทุจริต จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้เสนอรายงานข้อสรุปเรียกร้องความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อพล.อ.ประยุทธ์แล้ว จากนี้ต้องรอว่า นายกฯ จะมอบให้คลังดำเนินการอย่างไรต่อไป

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงป.ป.ช.ใกล้จะชี้มูลกรณีทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ล็อตที่ 2 ว่า ไม่ทราบ เพราะรู้อยู่ว่ายังเหลืออีก 4 สัญญาที่จะพิจารณา เรื่องนี้ต้องว่ากันใหม่ตามขั้นตอน สุดท้ายแล้วเรื่องจะไปรวมอยู่ที่ศาล เป็นล็อตๆ ไป เพราะค่าเสียหายที่ทำในแต่ละครั้ง ส่วนการลงนามคำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายจากน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ทราบว่าถึงไหน และพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้มาปรึกษาตน

วิษณุเชื่อสส.เลือกนายกฯเองได้
นายวิษณุกล่าวว่า การประชุมครม.วันที่ 4 ต.ค.นี้ ตนจะชี้แจงเรื่องการเลือกนายกฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่าสภาจะเลือกได้ แต่อาจจะเลือกหลายหน เช่น วันนี้ได้ไม่ถึง 376 เสียง พรุ่งนี้มาใหม่ มันยังไม่ข้ามขั้นตอน และไม่สำคัญว่าจะให้พรรคอันดับหนึ่งเสนอก่อน เพราะการเสนอก่อนหรือหลังไม่ต่างกันเลย เมื่อเสนอแล้วมาโหวตกัน อย่างไรก็ตาม ถ้ายังเลือกกันไม่ได้ ระหว่างนั้นเขาทิ้งเวลาไว้ให้ต่อรอง

“และเราจะได้เห็น นักการเมืองเก่งจะตาย ไม่ต้องห่วงเขา วันนี้ไม่ควรสนใจว่าใครจะรวมกับใคร หรือประกาศว่าจะไม่รวมกับใคร พอถึงเวลาแล้วมันจะเป็นไปตามเหตุการณ์ วันนั้นจะรู้ว่าเสียงของพรรคเป็นอย่างไร ประชาชนคิดอย่างไร สื่อจะสะท้อนออกมา” นายวิษณุกล่าว

เมื่อถามถึงวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะนับรวมก่อนรัฐธรรมนูญบังคับใช้ด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตอบไม่ถูก แต่ในร่างรัฐธรรม นูญระบุว่า 8 ปีติดต่อกัน แต่จะหมายความรวมถึงของเก่าก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ด้วยหรือไม่ ยังไม่ทราบ และไม่มีเหตุต้องไปคิด ปกติแล้วรัฐธรรมนูญใช้ตั้งแต่เริ่มต้น ยกเว้นเมื่อใดที่รัฐธรรมนูญใช้คำที่แสดงให้เห็นว่าให้หมายถึงของเก่าหรือย้อนกลับไป เช่น ใช้คำว่าเคย กรณีคุณสมบัติที่ระบุว่าล้มละลาย หรือเคยต้องคำพิพากษาล้มละลายโดยทุจริต แสดงว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับใช้ ก็จะเป็นไม่ได้

เด็กปชป.จวกหลักการ”วิษณุ”
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนายวิษณุ ระบุไม่เคยพูดให้ใช้มาตรา 44 ยุบสภา กรณีที่ไม่สามารถเลือกนายกฯหลังเลือกตั้งได้ แต่อาจให้ใช้วิธีออกพ.ร.ฎ.ยุบสภาตามปกติเหมือนที่ทำกันมา ว่า นายวิษณุยิ่งพูดยิ่งถดถอยในความคิดเรื่อยๆ เมื่อมีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนเลือกตัวแทนเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้กำหนดขั้นตอนไว้ชัดเจน จึงเชื่อว่าไม่ว่าจะติดขัดอะไร การเลือกนายกฯก็ดำเนินไปได้ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลชุดนี้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ใช้บังคับอยู่ แต่สภาที่มาจากการเลือกตั้ง มาจากรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯและหัวหน้าคสช. จะใช้อำนาจจากไหน เพราะหลักกฎหมายและหลักปฏิบัติไม่เคยรับรองให้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจมาถ่วงดุลกับสภาที่มาจากประชาชนได้ นี่คือตรรกะที่ง่ายมาก นักกฎหมายทั่วไปก็คิดได้ อย่าพยายามรับใช้อำนาจโดยไม่สนใจหลักการความถูกต้อง

นายราเมศยังกล่าวถึงนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกมธ.การเมือง สปท.ระบุเห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 ยุบสภาว่า นักกฎหมายต้องอยู่บนหลักการความถูกต้อง เจ้านายพูดอะไรผิดก็ควรชี้แนะว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อย่าเอาใจจนลืมหลักการ เพราะหากปล่อยไป เจ้านายอาจเสียหายได้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้านายพูดเรื่องอะไร นายเสรีอย่าไปพลอยเพราะจะเหมือนสุภาษิตไทยได้

มีชัยชี้รัฐบาลคสช.มีอำนาจยุบ
ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมกรธ. ถึงกรณีมีข้อถกเถียงการใช้อำนาจของรัฐบาล คสช. เพื่อแก้ปัญหา หากเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้ว่า ตามปกติรัฐบาลที่อยู่ในช่วงเลือกตั้ง มีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ ที่มีอำนาจจำกัดคือ ไม่มีอำนาจยุบสภา แต่รัฐบาลคสช. ถูกรับรองโดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ให้เป็นรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีอำนาจเท่ากับรัฐบาลปกติมี รวมถึงอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 แต่กรณีที่เป็นประเด็นคือ รัฐบาลของคสช. มีอำนาจดำเนินการได้ตามที่กฎหมายกำหนดและยังมีอำนาจตราพ.ร.ฎ.ยุบสภา เพื่อให้อำนาจกลับไปที่ประชาชนได้ แต่การใช้อำนาจนี้ ต้องแยกออกจากการควรใช้หรือไม่ควรใช้ด้วย
“ผมถามว่า คุณว่าสามารถกระโดดหน้าต่างจากตึกชั้น 3 ลงไปชั้นล่างได้ไหม คุณตอบว่าได้ แต่สมควรจะกระโดดจริงๆ หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เบื้องต้นมันต้องรู้ว่าปัญหาจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ มันอาจจะไม่เกิดเลยก็ได้ ดังนั้น ถ้าถามกันไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนวางแผนล่วงหน้าเอาไว้นาน ทั้งที่เหลือเวลาอีกปีกว่าเกือบสองปี เมื่อเกิดขึ้นจริงอาจจะผิดหมด เพราะสภาอาจจะรวมเสียงเกิน 300 เสียงแล้วเลือกกันได้เลยก็ได้” นายมีชัยกล่าว

นายมีชัยกล่าวด้วยว่า ตนไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุที่รัฐสภาชุดใหม่ไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติ ได้ออกแบบกลไกให้ประเด็นดังกล่าวเดินหน้าได้ อีกทั้งกระบวนการทางการเมือง โดยพรรคต้องมีการพูดคุยเพื่อเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้

สปท.โอเค”กมธ.”ชงร่างกกต.
ที่รัฐสภา สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ประชุมพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ด้านการเมือง เรื่องข้อเสนอประเด็นสำคัญเพื่อจัดทำร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยกกต. มีสาระสำคัญคือ การให้กกต.กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมบังคับใช้แก่กกต. เพื่อดำเนินงานเลือกตั้งให้เกิดความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ การให้กระทรวงมหาดไทยจัดเลือกตั้งส.ส. การสรรหากกต.จังหวัดต้องมาจากผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่ดำรงตำแหน่ง กกต.จังหวัดต้องไม่เป็นข้าราชการประจำหรือสมาชิกพรรคระหว่างดำรงตำแหน่ง ส่วนกกต.ชุดปัจจุบันทั้ง 5 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อจนกว่าพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.บังคับใช้ จากนั้นให้กกต.ที่มีคุณสมบัติไม่ขัดตามรัฐธรรมนูญใหม่ ดำรงตำแหน่งต่อจนครบวาระ 7 ปี ระหว่างนั้นให้สรรหากกต.จนครบ 7 คน ให้เสร็จภายใน 30 วัน นับจากพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต.มีผลบังคับใช้

จากนั้นที่ประชุมเปิดให้สมาชิกสปท.แสดงความคิดเห็น ก่อนที่ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับรายงานดังกล่าวด้วยคะแนน 150 ไม่เห็นด้วย 5 งดออกเสียง 10 ทั้งนี้ กมธ.ด้านการเมือง จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะไปปรับแก้ ก่อนนำเสนอกรธ.ต่อไป

“บิ๊กเจี๊ยบ”ลั่นไม่มีปฏิวัติซ้อน
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. แถลงภายหลังประชุมหน่วยขึ้นตรงระดับชั้นนายพล เพื่อมอบนโยบายการทำงานปี 2560 ว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ทุกอย่างเดินตามโรดแม็ปและในภาพรวม การใช้กำลังของ คสช.ก็ลดน้อยลง จะเน้นช่วยเหลือประชาชน การใช้อำนาจทางกฎหมายให้เป็นเรื่องของตำรวจ ยกเว้นกรณีที่สำคัญและจำเป็น ซึ่งกกล.รส.มีภารกิจอยู่แล้ว 7 ภารกิจก็ใช้ตามนั้น คิดว่าเหตุการณ์ความรุนแรงน่าจะลดน้อยลง

เมื่อถามถึงการปฏิวัติ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ถ้าพูดถึงปฏิวัติ ต้องถามหาเหตุผล ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ในสถานการณ์ปัจจุบันนายกฯเคยชี้แจงแล้ว เรื่องการปฏิวัติที่ผ่านมาคือครั้งสุดท้าย จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าประชาชนไม่เห็นชอบด้วย ส่วนตัวเป็นทหารอาชีพ ผู้บังคับบัญชาว่าอย่างไรก็ตามนั้น ยืนยันว่าไม่มี และที่มองว่าจะมีปฏิวัติซ้อน หากรัฐบาลบริหารงานไม่ดีนั้น ก็ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ จะปฏิวัติซ้อนหรือ ปฏิวัติอะไรก็ไม่มี เรื่องการปฏิวัติอยากให้ลืมไปเลย และวันหลังไม่ต้องถามแล้ว เพราะจะไม่ตอบ
พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวด้วยว่า มีจุดหนึ่งที่ยังห่วงใยคือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อาจจะใช้ความรุนแรง ซึ่งในปี 2553 มีอาวุธจำนวนหนึ่งหายไประหว่างปฏิบัติการดูแลการชุมนุมคนเสื้อแดง ซึ่งได้คืนมาในส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คืนมา ในงานข่าวมีตลอดว่ามีกลุ่มเห็นต่าง ไม่ยอมแนวความคิด และมีความคิดจะใช้ความรุนแรง ในเซนส์ของความเป็นทหาร ทุกอย่างต้องระแวดระวังทั้งสิ้น ต้องเตรียมมาตรการที่ดีที่สุดสำหรับป้องกัน ตนคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น แต่จะหาอาวุธเหล่านี้กลับคืนมาให้ได้ เชื่อว่าถ้าเราได้คืน ทุกฝ่ายจะได้สบายใจ

ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และคสช. กล่าวว่า ตัวเลขอาวุธปืนที่หายไปในช่วงเมื่อปี 2553 มีทั้งสิ้น 86 กระบอก ได้คืนมาเพียง 29 กระบอก นอกจากนี้ยังมีเสื้อเกราะถูกยึดไป 14 ตัว ซึ่งยังไม่ได้คืน สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี 2556-57 ถือว่ามีบริบทที่แตกต่างกับสถานการณ์เมื่อปี 2553 ดังนั้นภาพรวมการบริหารจัดการเพื่อรักษาความสงบย่อมแตกต่างตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงมากกว่า ไม่ใช่เรื่องของชื่อกลุ่มว่าเป็น นปช.หรือ กปปส. จึงไม่ใช่เจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติ อย่างที่บางคนพยายามบิดเบือน

นัด11ต.ค.-ชี้ถอนประกัน5นปช.
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 901 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนคำร้องของพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว นายวีระหรือนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ และนายนิสิต สินธุไพร 5 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยร่วมในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายรวม ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ในศาลอาญา

นายจตุพร ได้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนจำเลย แถลงต่อศาลว่า หากเห็นว่าก่อให้เกิดความวุ่นวาย ดีเอสไอและอัยการก็ยื่นฟ้องพวกตนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ได้ แต่ยังไม่พบว่ามีการแจ้งความฟ้องร้องดำเนินคดีแก่พวกตน ที่ผ่านมาพวกตนพูดวิจารณ์แต่ไม่ได้ปั่นป่วนให้เกิดความวุ่นวาย แต่กลับใช้เรื่องที่แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตมาร้องขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวที่ศาล ขณะที่คดีการชุมนุมของแกนนำ กปปส. ปรากฏว่าอัยการยื่นฟ้องเพียง 4 ราย ส่วนอีก 54 รายยังไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลอาญาทำให้ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขของกลุ่ม กปปส.ให้อยู่ในเงื่อนไขเดียวกันกับพวกตน และไม่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน

โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยทั้ง 5 ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้พูดออกทีวีจริง แต่เป็นการดำเนินรายการปกติ ไม่มีการยั่วยุให้เกิดความวุ่นวาย และไม่มีเจตนาละเมิดหรือผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ให้ไว้กับศาล จึงฟังได้เป็นที่ยุติและไม่ต้องไต่สวนพยานอีก แต่โจทก์ได้แถลงนำส่งพยานซึ่งเป็นซีดีบันทึกรายการทีวีที่พวกจำเลยจัดส่งศาล ซึ่งศาลจะวินิจฉัยเนื้อหาในแผ่นซีดีว่าการพูดออกรายการของจำเลยทั้ง 5 ยุยงปั่นป่วนให้เกิดความวุ่นวาย ผิดเงื่อนไขและเพียงพอจะให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ พร้อมนัดฟังคำสั่งในวันที่ 11 ต.ค.นี้

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวยืนยันว่า ระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาล พวกตนจะจัดรายการแสดงความคิดเห็นต่อไปเพราะมั่นใจว่าสิ่งที่พูดไม่ได้ผิดเงื่อนไขการประกันตัว ถ้าบ้านเมืองยังปกครองในลักษณะแบบนี้แต่ไม่มีใครพูดต่างจากผู้มีอำนาจ นั่นคือความเสียหาย พวกตนจะทำหน้าที่ตรวจสอบและยังยืนยันไม่ยอมรับการรัฐประหาร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน