ปรับเปลี่ยนใหญ่หรือจะได้ไปต่อ?

ปรับเปลี่ยนใหญ่หรือจะได้ไปต่อ? : “สภาดงงูเห่า” อภิปรายร่างพ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ 2563 นาน 3 วัน 3 คืน

บรรยากาศราบรื่นสลับดุเดือด สุดท้ายน่าจะเป็นอย่างที่หลายคนคาดการณ์ งบประมาณ 3.2 ล้านล้านจะผ่านวาระ 3 เรียบร้อยโรงเรียน “รัฐบาลเชียงกง” ไปอีกหนึ่งด่าน

ส.ส.พรรคร่วมไม่มีการแตกแถวไม่ว่าในการโหวตรายมาตราวาระ 2 หรือโหวตผ่านวาระ 3 ไม่มีปัญหาการนับองค์ประชุม หรือสภาล่มซ้ำซากให้เห็น

แต่นั่นก็ไม่อาจสรุปได้ว่า เสียงส.ส.ซีกรัฐบาลในสภาเป็นปึกแผ่นอย่างถาวร

เพราะในกรณีร่างพ.ร.บ.งบ ประมาณฯ 3.2 ล้านล้าน ถือเป็น “เค้กชิ้นใหญ่” ของเหล่าบรรดาพรรครัฐบาล 17-18 พรรค ที่แต่ละพรรคต้องการเข้ามามีส่วนแบ่ง การผนึกเสียงสนับสนุนให้ผ่านจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ไม่ได้อยู่นอกเหนือการประเมินของ ฝ่ายค้าน

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ประกาศว่า การทำงานของฝ่ายค้านในสภาปี 2563 จะเข้าสู่โหมดตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น

หลังจากปี 2562 เป็นปีแห่งการ เลือกตั้ง ฝ่ายค้านอยู่ในโหมดประคับประคองให้สภาและรัฐบาลเดินหน้าทำงานไปได้ ยังไม่เล่นบทหนัก ก้าวเข้าสู่ปี 2563 ถือว่าได้ให้เวลารัฐบาลมาพอสมควร จึงปรับโหมดทำงานให้เข้มข้นขึ้น ประเดิมด้วยการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

พรรคเพื่อไทยตั้งคณะกรรมการกิจการพิเศษขึ้นมา 1 ชุด มีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นประธาน มีแกนนำและส.ส.พรรคจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการ ทำหน้าที่ตระเตรียมประเด็นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แบ่งงานกันทำกับทีมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

“ทีมเหลิม” รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของคนในรัฐบาล กำหนดตัวขุนพลทำหน้าที่อภิปราย

“ทีมคุณหญิง” รวบรวมข้อมูลความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง การทุจริตเชิงนโยบาย และผลประโยชน์ทับซ้อน

จากการประชุมคณะกรรมการพิเศษกับวิปฝ่ายค้าน ในส่วนของเพื่อไทย และทีมงานนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เบื้องต้น “ล็อกเป้า”รัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายไว้ 5 คน

นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

ส่วนจะมากกว่านี้อีกหรือไม่ ต้องรอประชุมรับฟังข้อเสนอจากพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ อีกครั้ง มีข่าวพรรคเสรีรวมไทยต้องการยื่นอภิปรายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติม รวมถึงพรรคประชาชาติ ก็มี เป้าหมายอยู่เช่นกัน

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ฉายหนังตัวอย่าง พุ่งเป้าไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

กรณีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดขายที่ดินย่านบางบอนให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง เชื่อมโยงถึงเจ้าสัวคนดังระดับประเทศ ในราคากว่า 600 ล้านบาท ทั้งที่ราคาประเมินของราชการอยู่ที่ 197 ล้านบาท โดยมีการเอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนให้กันภายหลัง

กรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย และนายวิษณุ เครืองาม เอื้อประโยชน์ให้บริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ ที่สำแดงราคาสินค้านำเข้าเท็จ สอดรับกับที่พล.อ. ประยุทธ์ ส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แก้ไขพ.ร.บ.ศุลกากร

เฉพาะนายดอน ยังอาจเจอประเด็นแทรกซ้อนปม “ผีเจาะปาก” กรณีอ้างสหรัฐแจ้งเตือนไทยล่วงหน้า 1 วันก่อนปฏิบัติการยิงถล่มสังหารนายพลอิหร่าน ที่ใกล้เคียงชนวนก่อสงครามระดับโลก

พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พยายามตีกรอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลชุดนี้เพิ่งเข้ามาทำงานได้ 5 เดือน การอภิปรายของฝ่ายค้านจึงควรจำกัดเรื่องให้อยู่แต่ในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ควรย้อนหลังไปถึงรัฐบาล คสช.เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

แต่ก็เป็นเหตุผลข้ออ้างฟังไม่ขึ้น เพราะรัฐบาลชุดนี้เอาเข้าจริงๆ ก็มีรากฐานสืบทอดจากรัฐบาล คสช. นายกรัฐมนตรีก็คนเดิม รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่ถูกขึ้นบัญชีเชือดก็หน้าเดิม อยู่ในตำแหน่งเดิม

ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่า ตลอด 5 ปีรัฐบาล คสช. ซึ่งมาจากรัฐประหาร ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทำหน้าที่ตรวจสอบ องค์กรตรวจสอบอิสระไม่กล้าทำหน้าที่ ดังนั้น การห้ามตรวจสอบย้อนหลัง จึงไม่ถูกต้องทั้งในแง่หลักการและข้อเท็จจริง

ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วจะกลัวทำไม

พรรคเพื่อไทยและวิปฝ่ายค้านกำหนดปฏิทินไว้คร่าวๆ สัปดาห์หน้าจะประชุม 7 พรรคฝ่ายค้าน หาข้อสรุปว่าจะอภิปรายรัฐมนตรีกี่คน ประเด็นใดบ้าง จากนั้นจะดำเนินการยื่นญัตติในวันที่ 20 ม.ค. และเปิดอภิปรายได้ช่วงปลายเดือนม.ค.หรือต้นเดือนก.พ. หลีกเลี่ยงเทศกาลตรุษจีน

หมายความว่ายังมีเวลาอีกประมาณ 1 เดือน ให้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลเตรียมตัวสำหรับศึกใหญ่

แต่ที่เผชิญหน้าประลองกำลังกันก่อนในวันอาทิตย์ 12 ม.ค.นี้

“กองเชียร์”กับ “กองแช่ง” ผ่านกิจกรรม“เดินเชียร์ลุง”กับ“วิ่งไล่ลุง”

กลุ่มเดินเชียร์ลุง ยึดสวนลุมพินี เป็นสถานที่รวมตัว มีคนลงทะเบียนร่วมกิจกรรมแล้ว กว่า 3,000 คน ข่าวว่าถึงวันจริงยังจะมีการระดมมาเพิ่มเติมอีกไม่น้อย

ส่วนกลุ่มวิ่งไล่ลุง มีผู้มาลงทะเบียนออนไลน์และออฟไลน์รวมแล้วกว่า 1 หมื่นคน ก็ต้องดูว่าวันจริงจะมากันครบถ้วนตามตัวเลขหรือไม่

นอกจากจุดศูนย์กลางสวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ ในกรุงเทพฯ ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ส่งตัวแทนไปลงทะเบียนยืนยัน จะไปร่วมกิจกรรมวิ่งไล่ลุงด้วยแน่นอน

ล่าสุด เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานสรุปการจัดกิจกรรมวิ่ง ไล่ลุง 12 ม.ค. พบว่า ท่ามกลางความพยายามแทรกแซง และกีดกันการจัดกิจกรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง บางจังหวัดแกนนำจัดกิจกรรมถูกคุกคาม อาทิ จ.พะเยา อุบลราชธานี

ถึงกระนั้นก็ยังจะมีกลุ่มคนจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงใน 34 จังหวัด 39 จุด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ เชียงใหม่ ตาก และพิษณุโลก, ภาคอีสาน 12 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด อุดรธานี บุรีรัมย์ นครพนม ยโสธร สกลนคร และบึงกาฬ

ภาคใต้ 7 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต กระบี่ พัทลุง และสุราษฎร์ธานี, ภาคกลาง 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม นครนายก ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครสวรรค์ และชลบุรี

ทั้งนี้ หากไม่นับรวมผลสำรวจ “นิด้าโพล” ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อันดับ 1 ร้อยละ 31.42 ระบุ สนับสนุนให้นายธนาธร เป็นนายกฯ เหนือพล.อ.ประยุทธ์ อันดับ 2 ที่ร้อยละ 23.47

ยังมองกันว่า จำนวนคนออกมาร่วมวิ่งไล่ลุง 12 ม.ค. ทั้งที่สวนรถไฟ กรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดทุกภาคทั่วประเทศ จะเป็นสัญญาณส่งตรงไปถึงพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลได้ดี ว่าประชาชน

รู้สึกกับผู้ถูกเรียกว่า“ลุง”ในที่นี้อย่างไร

จบจากกิจกรรมวิ่งไล่ลุง สังคมก็จะจับตาไปยังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสถานีต่อไป

ถึงจะไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่การอภิปรายถึงความไม่โปร่งใส การทุจริตคอร์รัปชั่น ความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องชาวบ้าน ปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ ภัยแล้ง ฝุ่นพิษ

เหล่านี้จะ“เปิดแผลเน่า”ให้ประชาชนได้เห็น

เดือนก.พ.หลังศึกซักฟอกจึงเป็นห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล จะได้ไปต่อหรือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ห้ามกะพริบตาเด็ดขาด