สส.ชาติพันธุ์ อนาคตใหม่ ให้กำลังใจดีเอสไอ ทวงถามเหตุอัยการไม่สั่งฟ้อง คดีบิลลี่ ชี้กระบวนการยุติธรรมกำลังทำให้ประชาชนผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่เชื่อมั่น

คดีบิลลี่ – วันที่ 27 ม.ค. นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้แทนจากกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) กล่าวถึงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ในกรณีต้องสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและบังคับให้สูญหาย นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีมติสั่งฟ้องต่ออัยการว่า บิลลี่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในผืนป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะจากกรณีเจ้าหน้าที่รัฐบังคับให้ชาวบ้านกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน ใจแผ่นดิน ที่มีผู้นำชุมชนคือปู่คออี้ โยกย้ายออกจากพื้นที่ มีการเผายุ้งฉางของชาวบ้านเพื่อขับไล่และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆในปฏิบัติการตะนาวศรีเมื่อปี 2554

นายมานพ กล่าวว่า บิลลี่เป็นคนช่วยเหลือชาวบ้านและปู่คออี้ในกรณีบ้านใจแผ่นดิน เป็นคนที่เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด พร้อมรวบรวมและเปิดเผยหลักฐานว่าปู่คออี้และชาวบ้านเป็นคนที่อาศัยอยู่มาแต่ก่อนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ซึ่งในที่สุดศาลปกครองก็มีคำวินิจฉัยยืนยันว่า ปู่คออี้เป็นคนดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่ เป็นคนไทยสัญชาติไทย มีหลักฐานทางราชการคือกรมประชาสงเคราะห์ได้ออกมาสำรวจ และในแผนที่ทหารก็ปรากฏชัดเจนว่าพื้นที่นั้นเป็นหมู่บ้านใจแผ่นดินมาแต่เดิม

ส.ส.กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กล่าวว่า เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการที่บิลลี่ช่วยเหลือปู่คออี้และชาวบ้าน และการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในผืนป่าแก่งกระจาน คือสาเหตุของการบังคับให้สูญหาย สิ่งนี้รัฐมีหน้าที่ในการสืบค้น ค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นบิลลี่ ความชัดเจนเกิดหลังจากที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอป็นคนมารับผิดชอบคดี หลังจากที่กระบวนการยื่นเรื่องหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นต่อศาลในระดับจังหวัดหรือตามขั้นตอนปกติอื่นๆไม่สามารถจะนำไปสู่ความคืบหน้าได้ จึงไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งพิสูจน์ทราบแล้วว่าการสูญหายเกิดจากการฆาตกรรม โดยสิ่งที่ยืนยันเป็นหลักฐานในการฆาตกรรม ก็คือชิ้นส่วนมนุษย์ที่เป็นกะโหลกศรีษะที่พบเจอในเขื่อนแก่งกระจาน และในทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่าเป็นของบิลลี่

นายมานพ กล่าวว่า ดังนั้น กรณีที่ล่าสุดอัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ใน คดีบิลลี่ ดีเอสไอควรมีหนังสือไปโต้แย้งหรือเพื่อขอทราบเหตุผลว่าทำไมไม่สั่งฟ้องในกรณีบิลลี่ถูกฆาตกรรมและบังคับให้สูญหาย เพราะหากปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมปรากฏขึ้นอย่างที่เป็นอยู่นี้ ย่อมส่งผลถึงความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมโดยรวม

ที่สำคัญ ประชาชนที่พบเจอกับเหตุการณ์คล้ายๆกัน คือการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการใช้อำนาจทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไปละเมิดหรือเข้าข่ายในการละเมิด ย่อมจะมีความเกรงกลัว ไม่กล้าที่จะออกมาพูดความจริง เพราะกรณีอย่างที่เกิดขึ้นของบิลลี่ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาชนก็คาดหวังว่าจะเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้

“ขอเรียกร้องให้กระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานดีเอสไอซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการชื่นชมจากพี่น้องประชาชนว่ามีความเป็นกลาง ทำให้หลายๆเรื่องได้รับการยกย่องจากประชน ว่าสามารถค้นหาความจริงจนเป็นที่ยอมรับจากประชาชน กรณีเรื่องบิลลี่นี้ดีเอสไอที่รับผิดชอบตั้งแต่ต้น มีเนื้อหาสาระประเด็นครบถ้วน จำเป็นต้องมีเอกสารไปยังอัยการ หรือส่งฟ้องเองต่ออัยการสูงสุด” นายมานพ กล่าว

นายมานพ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ควรจะดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก คือการที่หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐที่ดูแลในพื้นที่ป่าอย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ควรจะออกมาบังคับใช้มติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 ซึ่งพูดถึงการคุ้มครองฟื้นฟูสิทธิชุมชนพี่น้องชาวกะเหรี่ยงและพี่น้องชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ในเงื่อนไขลักษณะแบบนี้

ขณะเดียวกันตอนนี้รัฐบาลมีความพยายามผลักดันกลุ่มผืนป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการมรดกโลกหรือยูเนสโกได้มีข้อท้วงติงมายังประเทศไทยสองสามเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตแดน หรือเรื่องของการอนุรักษ์ หรือศักยภาพหรือพื้นที่ๆควรจะเป็นมรดกโลก ที่สำคัญคือเรื่องของสิทธิชุมชน เรื่องของสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ที่จะต้องได้รับการคุ้มครอง ตรงนี้รัฐควรจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

“สุดท้าย ภาครัฐจะต้องเร่งออกกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน จากการปราบปราม การทรมาน การทำให้บุคคลต้องสูญหาย เป็นกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้หรือทุกๆฝ่ายจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นมาให้ได้” นายมานพ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน