ศรีวราห์ชี้คล้ายบึ้มใน 3 จว.ใต้ “ดร.ซุป”ห่วงศก.-ไร้คนลงทุน อธิการ-รองยกทีมลาม.มหิดล

เจออีกชิ้นส่วนบึ้มกรุง ทั้งสายไฟ-ถ่านกระดุม ศรีวราห์ชี้ประกอบระเบิดคล้ายที่ใช้ป่วนใต้ ปี”50-51 สั่งเช็กวงจรปิดล่ามือบึ้ม”ดร.ซุป” ชี้เศรษฐกิจไทยน่าห่วง จี้รัฐบาลให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เร่งแก้เอกชนไม่ยอมลงทุน จาตุรนต์วิจารณ์ “3 ปี คสช.” ยังอ้างขัดแย้งยิ่งตอกย้ำล้มเหลว จี้กำหนดวันเลือกตั้ง-ให้คนกล้าลงทุน กรธ.เปิดเวทีถกที่มา “ส.ว.” มีชงจับสลากด้วย สมชัยค้านลั่น จับสลากนั่ง ส.ว.ผิดหลักเลือกกันเอง อธิการบดีมหิดล นำทีม 13 รองอธิการบดียื่นลาออกยกชุด เหตุค้านคำสั่งป.ป.ช.สั่งโชว์เซฟ

ดร.ซุปชี้เศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วง

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ ครบรอบ 12 ปี ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วง เพราะยังมีข้อถกเถียงมากว่าเศรษฐกิจดีจริงหรือไม่ จึงอยากให้รัฐบาลให้ข้อมูลเศรษฐกิจที่แท้จริงกับประชาชน

นายศุภชัยกล่าวต่อว่า ข้อมูลจริงพบว่าปัจจุบันการลงทุนของภาคเอกชนตัวเลข ไม่ชัดเจน และส่วนใหญ่ลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวเป็นเรื่องผิดปกติ อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่จากที่มีการก่อสร้างโครงการจำนวนมาก ทำให้ค้าขายไม่ได้จำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลให้ดี แม้ตอนนี้ไม่มีสัญญาฟองสบู่ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่

จี้รัฐบาลให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

“รัฐบาลต้องให้ข้อมูลเศรษฐกิจการลงทุนที่ถูกต้อง ว่าทำไมเอกชนไม่ลงทุน ทั้งมีเงินสดมากและนำไปจ่ายเงินปันผลให้กับ ผู้ถือหุ้นสูง เป็นการกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์อย่างเดียว ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะควรนำไปลงทุนพัฒนาคน พัฒนานวัตกรรมการวิจัยการพัฒนาเพื่อขยายกิจการ กลับเน้นจ่ายเงินปันผลกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้เอกชนไทยจ่ายเงินปันผลสูงที่สุดในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดว่าถูกหรือไม่ นอกจากนี้เอกชนที่มาร่วมลงทุนกับรัฐในโครงการประชารัฐ ก็ไม่ได้ผลักดันการลงทุนจริงๆ เป็นการร่วมเพื่อหน้าตาเท่านั้น” นายศุภชัยกล่าว

นายศุภชัยกล่าวถึงการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อยของธนาคารพาณิชย์ว่า รัฐบาลควรเข้าไปดูข้อมูลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินกู้กับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทยเทียบกับเพื่อนบ้านว่าแตกต่างกันหรือไม่ ตอนนี้ธนาคารพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องหารายได้โดยพึ่งส่วนต่างดอกเบี้ยเหมือนในอดีต เพราะทางการได้เปิดทางทำธุรกิจหารายได้ทางอื่นมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์จึงไม่ควรคิดส่วนต่างดอกเบี้ยสูงเกินไป

เผยเอกชนไม่ยอมลงทุน

นายศุภชัยกล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยออมเงินน้อยลง เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ต่ำมาก ไม่ถึง 1% และตอนนี้แนวโน้มเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ต่ำมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเข้าไปดูรวมถึงโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย เพราะไม่มีความคืบหน้า เอกชนไม่ยอมลงทุน จึงต้องดูว่ามาจากสาเหตุอะไร ซึ่งมีหลายเหตุผล เช่น พื้นที่ที่กำหนดไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุน เป็นพื้นที่ปิดไม่เชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจอื่น ไม่สามารถแข่งกับเขตเศรษฐกิจเพื่อนบ้านได้ และเงื่อนไขการลงทุนยังไม่จูงใจ ซึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นเรื่องสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เหมือนกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลเร่งดำเนินการอยู่

สำหรับนายศุภชัย ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้เป้นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ หนึ่งในคณะกรรมการย่อย ของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.)

จาตุรนต์วิจารณ์ยับ” 3 ปีคสช.”

ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ พร้อมทนายความ เดินทางมาสืบพยาน ฝ่ายโจทก์ปากแรก นัดที่ 2 ในคดีความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 116 เมื่อมาถึง โดยมีมวลชนมารอให้กำลังใจ 15 คน และมีผู้แทนจากสถานทูตที่ประจำในประเทศไทยจาก 5 ประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์ ในห้องพิจารณาคดี

นายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการสืบพยานแต่ยังไม่จบ ต้องนัดกันใหม่ การสืบพยานปากแรกครั้งต่อไปในวันที่ 1 ก.ย.นี้

นายจาตุรนต์ยังกล่าวถึง 3 ปีคสช. ว่า มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งเห็นว่าทำงานไม่ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ออกมาชมเชยและบอกว่าประสบความสำเร็จก็มีเพียงแม่น้ำ 5 สาย การวิพากษ์วิจารณ์นั้นเชื่อว่าเป็นวิธีการตรวจสอบอย่างหนึ่ง ให้ความเห็นตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง

ชี้อ้างขัดแย้งยิ่งตอกย้ำล้มเหลว

นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีบางคนในรัฐบาลระบุคนที่วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคสช. เป็นพวกที่กลัวประชาชนลืมนั้น ตนมองว่าถ้าอยากให้ประชาชนจำได้ ต้องบอกว่าคสช.มีผลงานดีเยี่ยม แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ประชาชนไม่เดือดร้อนแล้ว ถ้าพูดอย่างนี้ประชาชนจะไม่ลืมไปตลอดเพราะพูดทำร้ายจิตใจประชาชน แต่พอเราบอก ว่าคสช. ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ล้มเหลวในการทำให้เกิดความปรองดอง ล้มเหลวในการแก้ปัญหาทุจริต ล้มเหลวในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน อย่างนี้เป็นการพูดตามความเป็นจริง โปรดมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะพูดไปแล้วประชาชนลืมหรือไม่ลืม

นายจาตุรนต์กล่าวว่า ส่วนที่พล.อ. ประยุทธ์ระบุจะไม่แถลงผลงานคสช. ให้รอแถลงผลงานรัฐบาลครบ 3 ปี โดยอ้างเหตุยังมีความขัดแย้งกันอยู่นั้น ตนมองว่าเรื่องนี้ยิ่งจะเสียหาย คือหลังฟังเสียงคำวิจารณ์แล้ว ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ชี้แจงก็ฟังไม่ขึ้นแล้วยังบอกว่า ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ มันยิ่งแสดงถึงการยอมรับความล้มเหลวของคสช.ที่ทำมา 3 ปี ที่สำคัญที่คสช.เข้ามานั้นเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง ผ่านไป 3 ปีแล้วมาบอกว่ายังไม่สามารถแถลงผลงานได้เพราะยังมีความขัดแย้งอยู่ เป็นการยอมรับชัดเจนว่าที่คสช.ทำมานั้นล้มเหลว

จี้เปิดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน

นายจาตุรนต์กล่าวถึงการเดินตามโรดแม็ป ของคสช. และรัฐบาลที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งว่า ทุกฝ่ายหวังว่าคสช. จะทำตามโรดแม็ป แต่โรดแม็ปของคสช. มีลักษณะพิเศษคือไม่กำหนดวัน เวลา รู้แต่ว่าจะทำอะไรก่อนหรือหลัง แต่ไม่บอกว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด ฉะนั้นจะไม่มีใครเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งตามที่บอก เช่น บอกว่ากลางปีหน้าบ้าง ปลายปีหน้าบ้าง หรือต้นปี 62 บ้าง ไม่มีใครทราบว่าเป็นไปตามที่พูดหรือไม่

“ที่ทุกฝ่ายอยากทราบคือกำหนดเวลา เพราะเห็นว่าการประกาศถึงการเลือกตั้งให้ชัดเจน มันจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนกล้าลงทุน หวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นจะตายต้องมีการเลือกตั้ง อย่างที่นายกฯพูด ควรเข้าใจความสำคัญว่าทั่วโลกเขาต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย และมีความแน่นอนชัดเจนในการคืนอำนาจให้กับประชาชน” นายจาตุรนต์กล่าว

จตุพรบี้”รบ.”แก้ปากท้อง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า สรุปผลงาน 3 ปีคสช. คงต้องถามประชาชนว่า มีความสุขหรือมีความทุกข์กับการบริหารประเทศของคสช. ตลอด 3 ปีมานี้ ยอมรับว่าระเบิดการเมืองหลายลูกไม่อาจทำลายคสช.ได้ ซ้ำยังอาจจะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ คสช.อยู่ต่อไปได้อีก อย่างระเบิดที่สนามหลวง มีคนเจ็บแค่คนเดียวคือพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ที่ดันบอกว่าไม่ใช่ระเบิดเป็นแค่ท่อประปาแตก แต่ระเบิดลูกที่ใหญ่ที่สุดคือระเบิดปากท้อง ที่ทุกวันนี้ประชาชนต่างขายสมบัติกินแทบจะหมดแล้ว และปัญหาปากท้องจะทำให้ทุกคนหันกลับมานึกถึงประชาธิปไตย

นายจตุพรกล่าวว่า ส่วนการสร้างความปรองดอง รัฐบาลนี้ได้อัญเชิญกระแสรับสั่งมาชี้แจงแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกับคสช. มาตลอดคงต้องรอกระทรวง กลาโหมและผบ.ทบ. ที่กำหนดว่าข้อสรุปอันเป็นสัญญาประชาคมต่อทุกฝ่ายจะเสร็จสิ้นช่วงเดือนมิ.ย.นี้ จะเป็นอย่างไร โดยสัญญาประชาคมฉบับนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นก่อนการเลือกตั้ง ถ้าไม่มี เมื่อเลือกตั้งไปสถานการณ์ก็จะกลายเป็นเหมือนเดิม หากได้นายกฯ คนนอก ที่มีเสียงข้างน้อยในสภาก็ไปไม่ได้ หรือหากได้นายกฯ คนใน องค์กรอิสระที่มีอยู่ก็พร้อมจะเอาลง ไปต่อไม่ได้เช่นกัน

พบ 2 ชิ้นส่วนบึ้มโรงละคร

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. กล่าวถึงกรณีที่เคยระบุว่าเหตุที่เกิดหน้าโรงละครแห่งชาติไม่ใช่เหตุคนร้ายลอบวางระเบิดว่า มันเป็นกลยุทธ์สับขาเพื่อหลอกให้คนร้ายตายใจ แต่แท้จริงแล้วตำรวจทำงานกันในทางลับซึ่งเป็นกลยุทธ์อีกส่วนหนึ่ง หลักฐานส่วนประกอบระเบิดก็พบในคืนเกิดเหตุเลย โดยจัดเจ้าหน้าที่เรียงหน้ากระดานเดินจนพบชิ้นส่วนประกอบวัตถุระเบิดกระเด็นข้ามถนนไปอยู่บนฟุตปาธฝั่งตรงข้าม ห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ทั้งนี้ต้องนำไปพิสูจน์ทราบให้ชัดเจนอย่างเป็นทางการว่าเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่หน้ากองสลากฯเก่าหรือไม่ ต้องหาจุดเชื่อมโยงศึกษาคดีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วชิ้นส่วนแต่ละชิ้นมาเทียบเคียงกัน แม้บางครั้งจะเหมือนกันแต่มันก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้

พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้เรื่องที่จำเป็นคือความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองต้องเอาเป็นหลักก่อน ความเชื่อมั่นต้องเกิดขึ้นตนพยายามไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในอนาคตอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดบก.สส.บช.น. กก.สส.บก.น.1 ฝ่ายสืบสวนสน.ชนะสงคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐ.กลาง) และ เจ้าหน้าที่อีโอดี บก.สปพ. ได้นำกำลังปูพรมตรวจสอบบริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติอย่างละเอียดอีกครั้ง ล่าสุดพบหลักฐานชิ้นส่วนประกอบระเบิดเพิ่มเติมอีก 2 อย่าง คือ เศษสายไฟ และถ่านใส่นาฬิกาลักษณะเป็นเม็ดทรงกลม หรือถ่านกระดุม น่าจะใช้ประกอบไอซี ไทเมอร์ เพื่อตั้งหน่วงเวลาจุดระเบิด

ศรีวราห์สั่งเช็กวงจรปิดล่ามือบึ้ม

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีเกิดเสียงระเบิดขึ้นที่บริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติ ว่า จากการตรวจสอบวัตถุที่พบในบริเวณที่เกิดเหตุ มีผลพิสูจน์ออกมาแล้วว่าเป็นวัตถุระเบิดจริง โดยเป็นชนิดโปแตสเซียมคลอเรต ซึ่งมีไอซีไทเมอร์ จุดระเบิดคล้ายกับที่เคยถูกใช้ก่อเหตุบริเวณถังขยะ ด้านหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม ถนนราชดำเนินกลาง ก่อนหน้านี้

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ เนื่องจากยังต้องรอพิสูจน์วิธีการประกอบระเบิดจากรอยบัดกรีเชื่อมกับสายไฟ แต่ก็พบว่ามีส่วนใกล้เคียงกันมาก ทั้งนี้ส่วนการสืบสวนติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ ก็มีการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด โดยไล่กล้องไปในพื้นที่โดยรอบ

ชี้คล้ายที่เคยใช้ป่วนใต้ปี50-51

รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ทางเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรืออีโอดี ได้ประสานกับทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เพื่อให้เกิดความแน่ชัด โดยคาดว่าไม่เกิน 3 วัน น่าจะมีความชัดเจนในส่วนของชนิดและขนาดของระเบิด สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อเหตุตนยังเชื่อว่าเป็นเพียงการก่อกวน เพราะชนิดของระเบิดที่ใช้มีอานุภาพน้อยกว่าไปป์บอมบ์มาก หรือจากที่เคยพบก่อนหน้านี้ในช่วงการชุมนุมทางการเมือง โดยใช้ดินระเบิดที่น้อยจนไม่พบกลิ่นและควัน เป็นชนิดที่ใช้ดินระเบิดแรงกว่าประทัดยักษ์เล็กน้อย

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่าเบื้องต้นคนร้ายมีการประกอบระเบิดมาจากที่อื่น แล้วนำมาก่อเหตุ โดยระเบิดลักษณะดังกล่าว เคยพบถูกนำมาใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงตั้งแต่ปี 2550-2551 ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้มีการสั่งปรับแผนใหม่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจะมีสายตรวจออกตรวจบ่อยขึ้น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบว่ากล้องวงจรปิดที่มีอยู่ เพียงพอหรือไม่

“บิ๊กตู่”ห่วงเลือกตั้งได้คนไม่ดี

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวตอนหนึ่งระหว่างมอบโอวาทแก่ข้าราชการที่สำเร็จจากโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ รุ่นที่ 9 ว่า ข้าราชการที่ต้องทำงานร่วมกับฝ่ายการเมืองต้องยึดหลักคิดที่ถูกต้อง พร้อมขอให้คนรุ่นใหม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างหลักคิดที่ถูกต้อง สร้างการรับรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งใครเข้ามาก็ได้ โดยต้องเตรียมพร้อมให้เกิดความเข้มแข็งเพียงพอ สู่ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาล

“ยอมรับว่าเป็นห่วงในประเด็นตรงนี้ ไม่ใช่อยากอยู่สืบทอดอำนาจ แต่กังวลว่าที่ทุกคนทำวันนี้จะล้มเหลว เมื่อเลือกตั้งแล้วได้คนไม่ดีกลับเข้ามา ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร หากใครทำเพื่อประเทศบ้านเมืองจริง ผมก็รักทุกคน แต่ถ้าทำไม่จริง กฎหมายจะต้องดำเนินการอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ยันต้องมีอาวุธที่ทันสมัย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้โลกเรามีภัยมากทั้งจากภูมิอากาศ ภัยก่อการร้าย และด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศต้องเตรียมพร้อมรับมือ ยกตัวอย่างประเทศใดที่มีน่านน้ำ มักจะมีขีดความสามารถทางทะเลสูงสุด ปัจจุบันยังมีปัญหาเส้นทางทะเลโดยเฉพาะการเดินเรือเสรี ซึ่งไทยมีความจำเป็นที่ต้องมีความพร้อมในด้านนี้ ในการแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน อย่ามองว่าบางเรื่องไม่จำเป็น คนจนจําเป็นมากกว่าเพราะทุกคนจำเป็นเท่ากัน ทั้งหมดจึงต้องวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และดำเนินการตามขั้นตอนเหมือนกระทรวงอื่น ยืนยันไม่ใช่การแก้ตัวแทนใคร

“แต่ย้ำว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีศักยภาพอย่างมีตัวตน เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและกำลังทหารอาจต้องมีมาก เพื่อเป็นแกนนำของหมู่บ้านที่ดี ต้องชี้นำทำแต่เรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่แกนนำทางการเมือง ชี้นำในสิ่งที่ไม่ดี” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ชี้เหตุไม่สงบทำ”ศก.”สะดุด

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีเหตุการณ์คล้ายวัตถุระเบิดบริเวณโรงละครแห่งชาติ ว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนอยู่ ซึ่งมีความก้าวหน้าตามลำดับ รัฐบาลไม่ได้ปล่อยปละละเลย เมื่อตรวจสอบพบความคืบหน้าก็จะแจ้งให้ทราบ การแก้ปัญหาต่างๆ ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อการทำงาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อาจจะมี หากยึดโยงถึงใครจะต้องไปหากันต่อ แต่ตอนนี้ยังไม่กล่าวหาใคร เมื่อเกิดความไม่สงบ การพัฒนาเศรษฐกิจและเรื่องต่างๆ จะทำได้อย่างไร ถ้าคิดว่าต้องการทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแล้วให้รัฐบาลมีปัญหา บ้านเมืองก็เดินหน้าไม่ได้ ตนหมายถึงถ้าเหตุที่เกิดเป็นเหตุระเบิดจริง แต่อาจจะเป็นไปได้ที่จะเป็นพวกมือบอนหรือพวกวัยรุ่น ขณะนี้รัฐบาลมองทุกประเด็น แต่ไม่ว่าจะเรื่องใด ต้องมองไปที่ปัญหาเศรษฐกิจและความสุขของประชาชน ปัญหานั้นเกิดได้ทุกเรื่องแต่อยู่ที่ประชาชนว่าจะทำให้สงบได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ตนเสียสมาธิในการทำงาน เพราะตนมีสมาธิดีตั้งแต่ 22 พ.ค.2557 ถ้าไม่มีสมาธิคงอยู่ไม่ถึงทุกวันนี้

เมื่อถามว่าขณะนี้มีกระแสข่าวการปรับครม. พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามทันทีว่า “ทำไมต้องปรับ ปรับใคร หรือต้องปรับตามสื่อ แล้วรัฐมนตรีที่มีอยู่บกพร่องอย่างไร และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เขียนไว้ให้ต้องปรับเปลี่ยนครม.หรือเปล่า เมื่อไม่ได้บอกก็ไม่ต้องทำ ยังไม่ทำ”

ปิดแอร์เต้นแอโรบิก-ลดวิจารณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องโถงตึกสันติไมตรี พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมพล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกฯ พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ที่ปรึกษานายกฯ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ คณะทำงาน ร่วมออกกำลังกายประจำสัปดาห์กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบ โดยร่วมเต้นแอโรบิก เป็นเวลา 30 นาที ซึ่งมีข้าราชการทำเนียบร่วมออกกำลังกายอย่างคึกคัก โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองปิดเครื่องปรับอากาศภายในตึกสันติไมตรี เพื่อลดกระแสวิจารณ์ในโลก โซเชี่ยลมีเดียว่า เวลาออกกำลังกายทำไมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับวันนี้มีฝนตกตลอดทั้งวัน

จากนั้น นายกฯ ให้เจ้าหน้าที่นำไอพอดส่วนตัวที่บรรจุเพลงไว้ไปเปิดเพลงได้ยินไหม เพลงยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ ของดา เอ็นโดรฟิน และเพลงวิมานดิน ของนันทิดา แก้วบัวสาย เปิดให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่ร่วมออกกำลังกายฟัง และให้ไปบรรจุไว้เพื่อเปิดในการเต้นครั้งต่อไป โดยระบุว่าชอบทุกเพลง

วิษณุแจงปมลูกนั่งกก.ปฏิรูปกม.

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สปท. เสนอให้หัวหน้าคสช. ใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ตั้งคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) โดยมีนายกฯ เป็นประธาน ระหว่างที่ยังจัดทำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ว่า สปท.ยังไม่ได้เสนอมา แต่ได้เห็นข้อเสนอนี้จากสื่อแล้ว ถ้าจะเสนอมาจริงให้ยื่นมาอย่างเป็นทางการ อย่าเสนอผ่านสื่อ ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่ที่จะใช้มาตรา 44 นั้น ตนไม่กล้าตอบก่อนเพราะคสช.จะต้องเป็นคนใช้อำนาจนี้ ตนไม่ได้เป็นสมาชิกคสช. อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างมาก จึงถูกส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับฟังความคิดเห็นอย่างหลากหลาย และดึงไว้เป็นฉบับสุดท้าย

นายวิษณุกล่าวถึงคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 123/2560 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย ที่มีชื่อนายวิชญะ เครืองาม บุตรชาย เป็นกรรมการว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการชุดดังกล่าวเป็นผู้เลือกกรรมการ ส่วนจะเป็นข้อครหาหรือไม่นั้น คณะกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมาย ไม่ได้ทำเรื่องปรองดองหรือเรื่องความลับ ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเท่าไร แต่หากไม่เหมาะสมก็ลาออกได้ ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ลูกชายไม่ได้มาปรึกษาตน แต่ปรึกษากับนายบวรศักดิ์

เผยคำสั่งคสช.แก้ปม”คตง.”

นายวิษณุกล่าวกรณีคสช.เห็นชอบออก คำสั่งหัวหน้าคสช. เพื่อแก้ปัญหาการสรรหาคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ฉบับใหม่แก้ไขฉบับที่ 23/2560 ว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องความไม่ชัดเจน จึงมีผลต่อการหาตัวบุคคลมาเป็นกรรมการสรรหา คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่จะออกมานี้จะสร้างความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องตัวกรรมการสรรหา และจะกำหนดให้สรรหาได้ทันที ไม่ต้องรอให้มี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับใหม่ อีกทั้งจะกำหนดให้สรรหาบุคคลเป็นกรรมการสรรหา คตง.ให้เสร็จภายใน 15 วัน นับแต่คำสั่งฉบับใหม่นี้ออกมา และจะขยายเวลาการสรรหา คตง.ออกไปด้วย

นายวิษณุกล่าวว่า หลังจากได้กรรมการสรรหาแล้ว ต้องสรรหากรรมการคตง. 7 คนให้เสร็จ ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะต้องทำให้เสร็จภายใน 60 หรือ 90 วัน แต่คิดว่าไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่ต่างกัน เพราะต้องสรรหาจนได้ตัวกรรมการคตง. 7 คน เสร็จก่อนที่คตง.ชุดเดิมจะสิ้นสุดวาระในปลายเดือน ก.ย.นี้อยู่แล้ว จากนั้นคตง.ชุดใหม่จะพิจารณาสรรหาผู้ว่าฯสตง.คนใหม่ แต่ถ้ายังหาตัวผู้ว่าฯสตง.ไม่ได้ จึงจะมาคิดกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร โดยสรุปแล้วจะไม่เกิดช่องว่างและไม่ต้องออกคำสั่งใหม่อีก เพราะเขาเผื่อช่องว่างไว้หมดแล้ว

ออกอีกคำสั่งคสช.ที่ 25/2560

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 25/2560 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 23/2560 เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาความต่อเนื่องของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดมาตรการและกลไกรองรับการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระบางแห่งให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับข้อ 20 ของคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 23 หัวหน้าคสช.โดยข้อเสนอแนะของ นายกฯ จึงมีคำสั่ง ดังนี้

1.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 6 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 “ผู้เคยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญหรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระมาแล้วไม่ว่าตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือคำสั่งใด ให้ถือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตาม (1)”

2.ให้ยกเลิกความในข้อ 7 วรรคสี่ ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “การรับสมัครและวิธีการคัดเลือก ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประธานศาลฎีกาหรือประธานศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี เป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาตามข้อนี้ ให้คณะกรรมการสรรหาตามข้อ 9 เป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจวินิจฉัย และให้นำความในข้อ 9 วรรคหก มาใช้บังคับกับการวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาด้วยโดยอนุโลม”

วางเกณฑ์สรรหา”คตง.”

3.ให้ยกเลิกความในข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ 12 เมื่อมีกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง หรือจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระภายใน 180 วันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ไม่ว่าจะพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือคำสั่งใดหรือมีกรณีที่จะต้องคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งคตง. เพื่อให้ครบจำนวนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนตำแหน่งที่ว่างหรือให้ครบจำนวนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี ให้เสร็จภายใน 90 วันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ”

4.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 14 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 “เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้กรรมการสรรหาตามข้อ 9 (4) ประกอบด้วยบุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คตง.แต่งตั้งองค์กรละ 1 คน”

5.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของข้อ 20 ของคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 “ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่งนี้เพื่อให้การทำหน้าที่ขององค์กรอิสระเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการในส่วนใดได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามคำสั่งนี้ ให้เลขาธิการวุฒิสภารายงานหัวหน้า คสช.เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม”

6.การนับระยะเวลาสำหรับการสรรหา คตง.ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 23 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ 3 ของคำสั่งนี้ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป 7.กรณีที่เห็นสมควรนายกฯ หรือ ครม.อาจเสนอให้คสช.เปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ 8.คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่งวันที่ 17 พ.ค.2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.

กรธ.เปิดเวทีถกที่มา”ส.ว.”

ที่รัฐสภา คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยเนื้อหาของเวทีสัมมนาครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น ภายหลังกรธ.ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นประชาชนตามภูมิภาค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสัมมนาได้หยิบยกข้อเสนอต่างๆ ที่ได้รับจากการเปิดเวทีรับฟังมาพิจารณากัน อาทิ ควรมีกลไกป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วกันเอง ตัดสัดส่วนผู้สมัคร ส.ว.ในกลุ่มสตรีออกไปหรือไม่ ควรเลือก ส.ว.ด้วยการจับสลากไปเลย เพื่อป้องกันการฮั้ว ควรให้ส.ว.มาจากการเลือกกันเองไม่ใช่การจับสลาก จัดทำบัญชีรายชื่อส.ว.สำรองไว้หากส.ว.ต้องพ้นจากตำแหน่ง ให้ผู้มีรายชื่อในบัญชีสำรองเข้ามาเป็นส.ว. ต่อทันที

สมชัยค้าน-จับสลากนั่งส.ว.

ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. กล่าวว่า แนวทางการเลือกส.ว. ที่กำหนดไว้ในร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ทั้งที่มีการเลือกกันเองและเลือกต่างกลุ่ม ภายใน 20 กลุ่ม เพื่อตอบโจทย์คำสำคัญในรัฐธรรมนูญคือ หลากหลาย เลือกกันเอง และสุจริต เที่ยงธรรม ตนมองว่าจะกลายเป็นกับดักที่นำไปสู่ปัญหาในขั้นตอนต่างๆ ทั้งการเลือกกันเองภายในกลุ่ม การเลือกต่างกลุ่ม และการจับสลาก สิ่งที่กรธ. เขียนให้การมีส.ว.ต้องหลากหลาย จึงเขียนให้มีหลายกลุ่ม แต่เมื่อกำหนดให้เลือกกันเอง ถือเป็นคำที่น่ากลัว เพราะถูกแปลว่าต้องเลือกต่างกลุ่ม และมีการจับสลาก ซึ่งการจับสลากอาจนำไปสู่การตีความในศาลรัฐธรรมนูญได้ว่า เป็นกระบวนการเลือกกันเองใช่หรือไม่ ซึ่งตนมองว่าการจับสลากไม่ใช่การเลือกกันเอง แต่เป็นการวัดดวงของผู้สมัคร

นายสมชัยกล่าวว่าตนมีข้อเสนอเพื่อให้ตอบโจทย์การได้มาของ ส.ว. คือต้องแบ่งกลุ่มให้เยอะกว่า 20 กลุ่ม เพื่อตอบโจทย์คำว่าหลากหลาย อย่างน้อยต้องมี 40 กลุ่ม สำหรับวิธีเลือกนั้นให้ใช้กระบวนการเลือกกันเองภายในกลุ่มเท่านั้น เพื่อให้ได้คนที่ดีที่สุดในกลุ่ม ขณะที่การเลือกต่างกลุ่มนั้นไม่ควรมีเพราะจะเกิดปัญหาการทำงาน

กกต.ยังไม่ชัดเลือกตั้งใน 150 วัน

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ให้สัมภาษณ์ถึงกรอบเวลาการเลือกตั้งที่ให้กกต.ดำเนินการภายใน 150 วันหลังร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ว่า เรื่องนี้ยังมีความเห็นแตกต่างกันว่า ให้นับรวมถึงการรับรองผลเลือกตั้งด้วยหรือไม่ ดังนั้นกกต.จึงส่งหนังสือสอบ ถามกรธ. และคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าตีความในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งยังไม่ตอบกลับมา หากชี้ว่าไม่นับรวมถึงการรับรองผลการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่าง กกต.จะทำเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานก่อนเลือกตั้ง

“กกต.เห็นว่าหากไม่นับรวมถึงการรับรองผล จะเป็นผลดีกับกกต.เพราะมีเวลาทำงานมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร กกต.ก็พร้อมจัดเลือกตั้ง แต่สิ่งสำคัญต้องมีความชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ดังนั้นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ และควรชี้ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งกกต.จะต้องเป็นต้นเรื่อง แต่ต้องรอคำตอบจากกรธ.และกฤษฎีกาก่อน ถ้าตอบว่าให้รวมถึงการรับรองผลการเลือกตั้งก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ เราก็จัดการเลือกตั้ง เมื่อกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ ก็ประกาศวันเลือกตั้งได้” นายสมชัย กล่าว

มีชัยชี้ 150 วันไม่รวมรับรองผล

ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. กล่าวว่า กรณีที่กกต.ได้สอบถามมายังกรธ.ว่าการที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วันนับตั้งแต่ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับประกาศใช้ครอบคลุมเฉพาะวันออกคะแนนเสียงหรือครอบคลุมไปการรับรองและการประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีความประสงค์ให้เวลา 150 วัน โดยไม่นับรวมถึงรับรองผลการเลือกตั้งด้วย แต่หาก กกต.จะไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ไม่เป็นไร กรธ.จะได้ไม่ต้องมาตอบคำถาม ตรงนี้

สปท.แจงวุ่นชงใช้ม.44 ปฏิรูป

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ใช้มาตรา 44 ออกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป 36 ฉบับ ว่า นายวิษณุได้แสดงความเห็นแล้วว่าต้องดูว่าเรื่องอะไร จะใช้มาตรา 44 ออกกฎหมายทั้งหมดคงไม่ได้ ซึ่งตนเห็นด้วยกับนายวิษณุ ทั้งนี้สนช.เหลือเวลาทำงาน 1 ปี คงช่วยสปท.ได้ โดยไม่ต้องใช้มาตรา 44 ซึ่งช่วง 1 ปีนี้ ถ้าสปท.ทำตามขั้นตอนแล้วส่งมา สนช.ก็ต้องพิจารณาและดำเนินการ

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสปท. คนที่ 1 ชี้แจงข้อเสนอของ ร.อ.ทินพันธุ์ที่ให้ใช้มาตรา 44 ออกกฎหมายปฏิรูป 36 เรื่องว่า สปท.มีแนวทางดำเนินการปฏิรูป 2 แนวทาง 1.การใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ของนายกฯและครม. และ 2.การใช้กฎหมายเพื่อการปฏิรูป โดยตราเป็นพ.ร.บ. ผ่านสนช.หรือใช้มาตรา 44 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกฯว่าจะใช้แนวทางใด ส่วนการปฏิรูป 36 เรื่อง ต้องดำเนินการให้เสร็จภายในปี 2560 ประธาน สปท.จึงเห็นว่าภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด และงานของสนช.ที่มากขึ้นในการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอีก 40-50 ฉบับ จึงเสนอให้ใช้แนวทางมาตรา 44 แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเพียงแนวทางเดียว เพราะยังคงใช้แนวทางผ่านสนช.ด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับนายกฯจะเห็นควร

อธิการบดีมหิดลไขก๊อกยกคณะ

วันเดียวกันนี้ นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) มีหนังสือชี้แจงการลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี โดยระบุว่า ตามที่รองอธิการบดี มม. ทั้ง 13 คนยื่นใบลาออกจากตำแหน่งตั้งวันที่ 1 เม.ย. เนื่องจากมีข้อจำกัดทั้งส่วนตัวและครอบครัวต่อเงื่อนไขที่กำหนดบังคับใช้ใหม่ในการดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีนั้น ในระยะเวลาอันจำกัดการสรรหาผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการบริหารเพื่อให้มาดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ประกอบกับเหลือระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งเพียงปีกว่า ซึ่งผู้ที่มาดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีคนมาใหม่จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้งานและปรับตัวอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี จึงอาจทำให้การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ดังนั้นเมื่อได้คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยและเพื่อไม่ให้มหาวิทยาลัยเสียโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น ผมและรองอธิการบดีทั้ง 13 ท่านที่รักษาการอยู่จึงเห็นสมควรลาออก โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2560 เป็นต้นไป เพื่อเปิดโอกาสให้มีการสรรหาผู้บริหารชุดใหม่มาบริหารมหาวิทยาลัยให้มีความเจริญก้าวหน้าและต่อเนื่องจากผู้บริหารชุดปัจจุบัน ซึ่งที่ประชุมสภามหาวทยาลัยมหิดล วันที่ 17 พ.ค. รับทราบในรายละเอียดเป็นที่เรียบร้อย

ด้านนายขจร จิตสุขุมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนสภามม. จะต้องรายงานเรื่องดังกล่าวมาให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อเสนอให้นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ รับทราบ ส่วนเหตุผลที่นพ.อุดมลาออก เนื่องจากก่อนหน้านี้รองอธิการบดี 13 คน ได้ลาออกไปนั้น เรื่องนี้ถือเป็นวิธีคิดของคนใน มม. เพราะเท่าที่ผู้บริหารหรือรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหา ทุกคนก็พร้อมที่จะยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน อีกทั้งผู้บริหารหน่วยงานอื่นก็ยื่นบัญชีทรัพย์สินตามประกาศของป.ป.ช.

ทหารร่วมรำลึก25ปีพฤษภา”35

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ลานสันติพร อนุสรณ์พฤษภาประชาธรรม มีการจัดกิจกรรมรำลึก “25 ปี พฤษภาประชาธรรม” โดยมีผู้ร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายโคทม อารียา นักสันติวิธีในฐานะประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนปี 2535 นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาน.ส.กมนเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิตในวัดปทุมฯ จากการสลายการชุมนุมนปช. เมื่อปี 2553 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพล.ต.เฉลิม เรืองทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนจากกองทัพบก

นายโคทมกล่าวเปิดงานว่า ไม่อยากให้ประชาชนเกิดการสูญเสียชีวิตหรือบาดเจ็บในสังคมไทยเกิดขึ้นอีกแล้ว ไม่ใช่เฉพาะการสลายการชุมนุมในปี 2535 แต่ยังหมายถึงการชุมนุมในปี 2553 และเหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย จากเดิมคนทั่วไปอาจมองว่า กองทัพกับประชาชนคือคู่ขัดแย้งในบางกรณี แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษ เพราะมีตัวแทนจากกองทัพบกมาร่วมวางพวงมาลารำลึกด้วย ถือเป็นิมิตหมายใหม่ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเราจะไม่ทะเลาเบาะแว้งและเริ่มต้นสร้างความสามัคคีปรองดองในอนาคต เหมือนเมื่อปี 2535 เราเคยผ่านเหตุความขัดแย้งรุนแรง ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามพระราชดำรัสที่ขอให้ทุกฝ่ายเลิกขัดแย้งและรักสามัคคีปรองดองกัน

ด้านพล.ต.เฉลิมกล่าวว่า ผบ.ทบ.มอบหมายให้เข้าร่วมกิจกรรมรำลึกในครั้งนี้ จากเหตุการณ์ในปี 2535 และ 2553 สังคมไทยต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จนกลายเป็นเรื่องเศร้าเสียใจที่คนไทยทุกคนจะลืมไม่ได้ เราต้องจดจำเรื่องนี้ตลอดไป ไม่ให้บ้านเมืองเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เหตุความรุนแรงในปี 2535 ยุติลงด้วยพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราต้องน้อมนำพระราชดำรัสนี้มาใช้ปฏิบัติต่อไป

“เราอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เมื่อมีความคิดเห็นต่างกันก็ควรหันหน้าเข้าคุยกัน ต้องไม่ใช้วิธีแตกหักรุนแรง เราจะต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” พล.ต.เฉลิมกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน