ทหาร-ตร.คุมเข้ม ทำบุญ 6 ศพวัดปทุมฯ รำลึกเสียชีวิต 7ปี เล่นละครใบ้ทวงความเป็นธรรม โดนหิ้วเข้าสน.ปทุมวัน แล้วปล่อยโดยไม่ตั้งข้อหา นปช.ก็ทำบุญให้เหยื่อปี 53 “บิ๊กตู่”ยันรัฐบาลมีผลงาน ผบ.ทบ.พอใจการทำงาน 3 ปีคสช. ปัดวุ่นบึ้มกรุงไม่เกี่ยว 3 จว.ใต้ ศรีวราห์เผย รอยบัดกรีวงจรระเบิดเหมือนที่ก่อเหตุในภาคใต้ คลังไม่สนข้อเสนอขึ้นแวต สนช.รับได้แม้ ถูกเมิน

ญาติทำบุญ 7 ปี-6 ศพวัดปทุมฯ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 พ.ค. ที่ศาลา 84 พรรษา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด อาสาพยาบาล 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ภายในวัดปทุมวนารามฯ ซึ่งศาลไต่สวนการตายแล้วมีคำสั่งระบุว่าผู้ตายทั้ง 6 ศพ เสียชีวิตมาจากกระสุนจากฝั่งเจ้าหน้าที่ พร้อมครอบครัวและกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม จัดทำบุญรำลึกครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ 9 รูป โดยมีนาย อีโว ซีเบอร์ เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย นายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทย นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการทำบุญครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบประมาณ 10 นาย มาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นอกศาลา ถ่ายภาพผู้มาร่วมพิธี นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบอยู่ด้านนอกวัดปทุมฯและทางเชื่อมรถไฟฟ้าสกายวอล์ก จำนวนหนึ่ง คอยป้องกันการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมือง

แม่เกดทวงความยุติธรรมต่อไป

นางพะเยาว์กล่าวว่า เราทำบุญรำลึกตามประเพณีให้กับผู้เสียชีวิต และให้สังคมได้รู้ว่าวันนี้ผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และเราต้องพูดถึงด้วยว่าขณะนี้กระบวนการยุติธรรมนั้นหยุดนิ่ง ผู้เสียชีวิตร่วม 100 คน จากเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้รับความยุติธรรมเลย เราจึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องให้พวกเขา ซึ่งตั้งแต่มีการยึดอำนาจกระบวนการยุติธรรมทุกอย่างมันนิ่งไปหมดเลย รัฐบาลพูดถึงเรื่องปรองดอง และอยากให้ญาติยอมรับ และให้อภัยในเรื่องที่เกิดขึ้น จึงอยากถามว่าก่อนที่จะให้เราให้อภัย ให้เราลืม รัฐบาลเคยมาขอโทษเราหรือยัง เคยสำนักแล้วหรือยัง อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมยังไม่มาถึงเรา มันจะปรองดองกันได้อย่างไร แต่ถ้ามีความยุติธรรมเกิดขึ้น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้แน่นอน

“รัฐบาลนี้พยายามซุกเรื่องนี้ไว้ให้เงียบที่สุดและซุกทุกอย่างไว้ใต้พรม ซึ่งมันไม่ใช่และเราจะไม่ยอม อีกทั้งตั้งแต่ปี 2553 ยังไม่มีคำขอโทษจากปากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล นักการเมือง และทหาร แล้วเราจะให้อภัยเขาได้อย่างไร ถ้าเขายังไม่สำนึกและรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าจะยังทวงถามความยุติธรรม จะไม่ยอมให้เรื่องเงียบ และยังสู้เหมือนเดิม” นางพะเยาว์กล่าว








Advertisement

เล่นละครใบ้-โดนหิ้วเข้าสน.

จากนั้นเวลา 15.30 น. นางพะเยาว์ และนายพันศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ นายอานนท์ นำภา นายสิริวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นายกฤษณะ ไก่แก้ว นายพิชญ อนันตเศรษฐ นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ นายณัฐพัชร อัคฮาด ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเล่นละครใบ้ตามหาความยุติธรรม ภายในวัดปทุมวนาราม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแสดงละครใบ้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าสังเกตการณ์ และเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มที่จัดกิจกรรมให้จำกัดเวลาในการเล่นละครใบ้ ภายหลังการแสดงจบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวกลุ่มที่จัดกิจกรรมไปที่ สน.ปทุมวัน เพื่อนำตัวไปพูดคุยและซักถามรวม 7 คน โดยไม่ได้ตั้งหาใคร ก่อนจะปล่อยตัวทั้งหมดในเวลา 18.30 น.

ตร.ชี้แค่สอบถาม-ไม่ได้ตั้งข้อหา

ด้านพ.ต.อ.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผกก.สน.ปทุมวัน เปิดเผยว่าไม่ได้แจ้งข้อหา เพียงแต่เรียกมาซักถามบันทึกข้อมูลว่ามาทำอะไรกัน ก่อนจะปล่อยตัวไป

นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของน้องเฌอ เปิดเผยหลังจากตำรวจสอบสวนเสร็จว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตั้งข้อหาอะไร เพียงแต่ซักถามข้อมูลกับพวกตนทั้ง 7 คนว่ามาทำอะไรกัน ก่อนจะปล่อยตัว

นางพะเยาว์ บอกว่าถูกเจ้าหน้าที่เชิญตัวมาขณะที่ไปทำบุญครบรอบ 7 ปี ให้ลูกสาวและผู้เสียชีวิต ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีความผิด เพราะไม่ได้มาทำเรื่องการเมือง และจุดที่ทำก็อยู่ในบริเวณวัด จากศาลามายังจุดที่ลูกสาวตาย มันไม่ได้ไกล ไม่คิดว่ามันจะผิดอะไร พวกตนทำอาหารอยู่ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารมาดึงมือไปเลย ตนมาเรียกร้องความยุติธรรมเพราะลูกเราตาย มีคนตายอยู่ตรงนี้ แต่ความยุติธรรมมันถูกดร็อป มันนิ่ง เราอยากจะร้องให้สังคมรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมมันถูกหยุด ถูกรั้ง 7 ปีแล้ว ปีนี้เจ้าหน้าที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่มีสาเหตุที่เราต้องถูกเชิญตัวมา ทางกฎหมายมันไม่น่ามีอะไรมาก เราไม่ได้มาชุมนุมการเมืองแต่เป็นวันครบรอบวันตายของผู้เสียชีวิต 7 ปีแล้วที่เรารอความยุติธรรม

จุดเทียนรำลึกผู้เสียชีวิต

จากนั้นเวลา 19.40 น. ที่บริเวณแยกราชประสงค์ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตย เดินทางมาทำกิจกรรมรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 53 ที่บริเวณฝั่งทางเข้าเกษรพลาซ่า ใกล้กับบริเวณแยกราชประสงค์ ทั้งนี้นายสิรวิชญ์กล่าวไว้อาลัย และเดินไปที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาอัมรินทร์พลาซ่า รวมตัวพบปะกับกลุ่มประชาชนที่ก่อนหน้านี้ร่วมกันเดินทางมาวางดอกไม้ และจุดเทียนรำลึก

นปช.ทำบุญผู้เสียชีวิตปี”53

ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำนปช. นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. นางธิดา โตจิราการ ประธานที่ปรึกษา นปช. พร้อมสมาชิก นปช. จำนวนหนึ่ง ทำบุญสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตเนื่องในเหตุการณ์เดือน พ.ค. 2553 โดยนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป มาร่วมในพิธี

นายจตุพรกล่าวว่า การเสียสละชีวิตของวีรชนจะไร้คุณค่าถ้าคนรุ่นหลังไม่สืบทอดเจตนารมณ์ ขอให้ผู้มีอำนาจได้คลายความกังวลว่าเป็นการจัดงานบุญ ถ้าจัดงานที่รำลึกในเวทีสาธารณะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์ปี 2553 เป็นเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดในประเทศไทย เป็นความตายที่ไม่สามารถเอาผิดใครได้ ฝ่ายที่ตายบัดนี้ยังอยู่ในเรือนจำ ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้ที่สังหารเขาได้ แต่นั่นเป็นเรื่องเล็กกว่ากับการทำหน้าที่ของผู้อยู่หลัง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลจึงจำเป็น และความทุกข์ของวีรชนแต่ละยุคแต่ละสมัยมีความเจ็บปวดไม่ต่างกัน

ณัฐวุฒิยันไม่ได้ท้าทายผู้มีอำนาจ

นายจตุพรกล่าวว่า การเรียกร้องประชาธิป ไตยไม่ควรมีใครต้องมาบาดเจ็บล้มตาย เป็นบทเรียนที่สำคัญทั้งทหารและประชาชนไม่ควรมีใครบาดเจ็บล้มตายกันอีกแล้ว การทำบุญอุทิศส่วนกุศลวันนี้จะเป็นกำลังใจที่สำคัญให้กับญาติวีรชน เพราะตอนที่เขาตายได้ถูกประณามตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เขาคือประชาชน ไม่มีเขม่าดินปืนในมือแม้แต่คนเดียว แต่ต้องล้มตายลง เพียงแค่ เรียกร้องให้ยุบสภา บทเรียนนี้จะมีคุณค่าต่ออนาคตคือการแสดงออกและต่อสู้ของประชาชนแต่ละยุคแต่ละสมัยมีคนพร้อมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่หมดสิ้น และตนขอสดุดีวีรชนในทุกเหตุการณ์ที่พร้อมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาทุกยุคทุกสมัย

ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าในวันหนึ่งสังคมไทยจะรู้ความจริงและมีการชำระประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ซึ่งการต่อสู้ของประชาชนในเหตุการณ์ พ.ค.2553 เแค่เราต้องการการเลือกตั้งซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานทางการเมือง แต่เราไม่ได้หีบเลือกตั้งแต่ได้หีบศพแทน ฝากถึงผู้มีอำนาจว่าการจัดงานวันนี้ไม่ได้ท้าทายหรือสร้างแรงเสียดทานให้เกิดขึ้น และเราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร เมื่อเสร็จงานทำบุญแล้ว เราก็แยกย้ายกันไป เราเชื่อมั่นว่ารากแท้ท่านก็เป็นประชาชนเหมือนกับเรา ทั้งนี้ความตายของประชาชนเป็นสิ่งมีค่า เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยและความตายนี้ จะไม่สูญเปล่า

บิ๊กตู่โต้อีก-ผลงาน 3 ปี”รบ.-คสช.”

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ภาพสะท้อนมุมมองของต่างประเทศในการทำงานของรัฐบาลและคสช.ช่วง 3 ปี นอกจากเราจะได้รับรู้รับทราบมาเป็นระยะจากสถาบันต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว ด้วยข้อมูลการจัดอันดับต่างๆ ที่ผ่านมาและล่าสุด จึงไม่อยากกล่าวอะไรมากนักเรื่องผลงานรัฐบาลมีหรือไม่มี เพราะผลงานไม่ได้หมายความว่าต้องมีอะไรใหม่อย่างเดียว แต่อยากให้ดูด้วยว่าเราต้องแก้ไขปัญหาประเทศอะไรบ้างที่สะสมมานาน พร้อมมาตรการช่วยเหลือต่างๆ

“ด้วยความพยายามของรัฐบาลและคสช. ในการแก้ปัญหาทุกเรื่องให้ได้อย่างยั่งยืนเพื่อจะไปสู่วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนนั้นเป็นการเลือกทำในสิ่งที่ยาก อาจทำให้ดูเหมือนว่าเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เหมือนมาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่ทันใจเพราะสัมผัสได้ ทำได้ง่ายและมีผลทางการเมืองโดยตรง ก็ขอฝากฝ่ายการเมืองต่างๆ ขอให้ทบทวน ช่วยกันพิจารณาดูให้ดีว่าความจริงแล้วสังคมไทยต้องการการแก้ปัญหาแบบไหนจึงจะนำพาประเทศหลุดพ้นกับดักต่างๆ ได้อย่างแท้จริง และต้องทำไปทั้งสองอย่างด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ยอมรับประชาชนขาดกำลังซื้อ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง รัฐบาลยอมรับว่า แม้ตัวเลขประเมินทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นในภาพรวม แต่การกระจายรายได้ยังทำได้ไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องแสวงหามาตรการมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่ายังไม่ได้อะไรจากรัฐบาล ยอดซื้อ ขายสินค้าบางอย่างตกลง แสดงว่าประชาชนขาดกำลังซื้อ รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างแต่อาจทำได้ไม่รวดเร็ว เพราะเราต้องระมัดระวังเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญ ประกอบกับในมาตรการใหม่ๆ อาจมีการบิดเบือนให้ร้ายจนไม่เข้าใจ เกิดความร่วมมือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะความยากจน เพราะผู้มีรายได้น้อย ลำบาก วันนี้ก็อาจมีการให้คำสัญญาจากนักการเมืองที่ไม่ดี มาใช้โอกาสนี้สร้างความเข้าใจผิด เหมือนเดิมๆ บอกว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้

“การแก้ไขความเดือดร้อนซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รวมถึงการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ บางอย่างอาจจ่ายตรงไม่ได้ติดขัดข้อกฎหมาย เช่นที่เคยเกิดขึ้นเป็นคดีความต่างๆ และเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน หากเราไม่รอบคอบไม่ระวังเท่าที่ควรอาจเกิดปัญหาในระยะยาว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ผบ.ทบ.พอใจผลงาน”คสช.”

ด้านพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. กล่าวถึงครบรอบ 3 ปี คสช.ว่า คสช.รวบรวมผลงานในภาพรวมที่ผ่านมา 1,095 วันเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ เพื่ออนุมัติให้มีการชี้แจงผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยหรือรายการอื่นๆ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้งานหลักของคสช.คือดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ โดยมีกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เป็นผู้รับผิดชอบ สนับสนุนรัฐบาลในกรอบงานต่างๆ โดยเฉพาะการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ในภาพรวมตนมีความพอใจ ส่วนการสร้างสามัคคีปรองดองนั้นหลายคนอาจมองว่าไม่สำเร็จ

“ผมคิดว่าทุกอย่างดีขึ้น ประชาชนเข้าใจสภาวะและปัญหาความแตกแยกเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเรื่องการจัดระเบียบสังคมต่างๆ ซึ่งเราจะทำอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าผลงานคสช.อยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ประชาชนยอมรับ แต่การจัดระเบียบสังคมบางส่วนอาจมีผู้ที่ได้รับผลกระทบไม่พอใจบ้าง ในภาพรวมผมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนปัญหาเศรษฐกิจที่มองว่ายังไม่ดีขึ้นนั้น จากที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านก็คุยเหมือนกันหมดว่าปัญหาของเขาคือปัญหาเศรษฐกิจ ผบ.ทบ.มาเลเซียเขาก็บอกว่าเศรษฐกิจเขาแย่กว่าเราอีก สิ่งเหล่านี้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่เราต้องประคับประคอง” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

ยันเศรษฐกิจไทยดีกว่าชาติอื่น

เมื่อถามว่า 3 ปีคสช. ประชาชนพอใจการแก้ปัญหาด้านความมั่นคง แต่ทำไมยังเกิดเหตุระเบิดทั้งในกทม.และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งสะสมมานาน การจะทำให้ทุกคนเลิกโกรธกันภายในเวลาสั้นๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะติดอยู่ในจิตสำนึกและจิตใจ แต่ละฝ่ายที่เป็นแกนกลางก็มีเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีข้อจำกัดมากและต้องใช้เวลา ตนไม่ได้กังวลเรื่องความขัดแย้ง แต่เราจะบริหารความขัดแย้งอย่างไร ปัญหาที่ผ่านมาเราเคยชินกับการใช้ความรุนแรง ทุกประเทศก็มีความใกล้เคียงกันทั้งเหตุระเบิดและการก่อเหตุป่วน สำหรับความขัดแย้งการเมืองในเวลานี้ ตนถือว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุการณ์เสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณโรงละครแห่งชาติเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า สรุปได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 ครั้งคือ บริเวณโรงละครแห่งชาติ และหน้ากองสลากเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นรูปแบบของระเบิดใกล้เคียงกัน เป็นการก่อกวนและสร้างสถานการณ์โดยไม่ได้หวังผลร้ายแรง คิดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าด้วยความสงบเรียบร้อย ต้องค้นหาและพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้ก่อเหตุมีพื้นฐานมาจากไหน เกี่ยวข้องกับด้านการเมืองหรือไม่ หรือเป็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจเป็นการส่วนตัว หรือกลุ่มคนที่ได้รับผล กระทบจากการดำเนินการต่างๆ ของรัฐบาลและคสช. ตราบใดที่เรายังไม่ได้ตัวผู้ดำเนินการ ก็ไม่ควรไปบอกว่าเป็นกลุ่มนั้นหรือกลุ่มนี้

ปัดบึ้มกรุงไม่โยง 3 จว.ใต้

พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวอีกว่า ในส่วนของทหารหรือกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ซึ่งเรามีกองอำนวยการร่วมอยู่แล้ว ตนได้สั่งการให้พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 (มท.ภ.1) ได้พิจารณาทบทวน ถ้าจำเป็นให้นำกองกำลัง กกล.รส.ในพื้นที่อื่นเข้าไปเพิ่มเติม โดยประสานกับตำรวจซึ่งขณะนี้ตำรวจมีการจัดสายตรวจเพิ่มเติมทั้งในและนอกเครื่องแบบตามห้วงเวลาที่เหมาะสม โดย นายกฯและ พล.อ.ประวิตร ให้ตำรวจเร่งรัดรูปคดีเพื่อคลี่คลายปัญหานี้โดยเร็ว

เมื่อถามว่าพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ระบุเหตุการณ์ดังกล่าว คล้ายคลึงกับการวางระเบิดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ระบุว่า ชิ้นส่วนต่างๆ ของระเบิด ที่พบไม่ได้เชื่อมโยงกับในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเพียงลักษณะการก่อกวน แม้รูปแบบและวิธีการอาจจะคล้ายกัน แต่ลอกเลียนได้จากอินเตอร์เน็ต แต่วัตถุชิ้นส่วนคนละชนิดกัน ยืนยันว่าเหตุระเบิดดังกล่าว ไม่ใช่ก่อเหตุเพื่อกลบกระแสโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำและผลประโยชน์กองสลาก ขอให้มองโลกในแง่ดีบ้าง

ทัพ 1 เพิ่มกำลังคุมเข้มสนามหลวง

ที่กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวัง (สนามหลวง) พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ มท.ภ.1 ประชุมติดตามสถานการณ์ การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยโดยรอบสนามหลวง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะมากราบพระบรมศพ หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณโรงละครแห่งชาติซึ่งเป็นพื้นที่ ใกล้เคียงกับสนามหลวง โดยพล.ต.ธรรมนูญวิถี รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯกทม. รวมถึงผู้แทน จากบช.น.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

พล.ท.อภิรัชต์ ให้สัมภาษณ์ว่า กองอำนวยการร่วมฯ ได้ประชุมหารือเเพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่โดยรอบสนามหลวง ไม่ได้วัวหายแล้วล้อมคอก เนื่องจากคอกของเรามีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ในจุดคัดกรองจะเพิ่มความเข้มแข็งและมาตรการรักษาความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้ประชาชนอาจจะไม่ได้รับความสะดวกเนื่องจากจะมีการตรวจตรา ถ่ายภาพ บันทึกภาพ หลายระบบมากขึ้น พร้อมทั้งจัดกำลังเพิ่มเติมอีก 1 กองร้อย และเดิมเรามีชุดลาดตระเวนมอเตอร์ไซค์ แต่จะเพิ่มชุดลาดตระเวนจักรยานเพื่อให้กำลังพลเข้าไปในพื้นที่แคบได้ ส่วนกล้องวงจรปิด ไม่อยากให้มองว่าเป็นปัญหา หรือกล้องมีหรือไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกล้องวงจรปิดมีอายุการใช้งาน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. ได้สั่งการให้นำกล้องวงจรปิดตัวที่ดีที่สุดมาติดในพื้นที่สนามหลวง และติดตั้งในจุดที่เป็นจุดบอด

ตร.ย้ำบัดกรีบึ้มเหมือน 3 จว.ใต้

ด้านพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รองผบ.ตร. กล่าวถึงการตรวจสอบเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติว่า การติดตามหาตัวผู้ลงมือก่อเหตุเป็นไปค่อนข้างยาก แต่ยังมีพยานหลักฐานในการสืบสวนต่อไปได้ เพราะยังมีเบาะแสต่างๆ ซึ่งตนได้ สั่งการตำรวจร่วมกับทหารติดตามตัวกลุ่ม ผู้ก่อเหตุแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มาก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

“ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายจับ ส่วนการตรวจสอบรอยบัดกรีที่ทำวัตถุนั้น มีลักษณะเดียวกันกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปี 2550”

ลูกวิษณุร่วมประชุมทีมบวรศักดิ์

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมาย ของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ประชุมเป็นนัดแรก โดยมีกรรมการเข้าร่วมประชุม อาทิ นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายคำนูณ สิทธิสมาน นายวิชญะ เครืองาม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล และผู้แทนเลขาธิการครม. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนป.ย.ป.

ก่อนเข้าประชุม นายบวรศักดิ์ กล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองกับผู้สื่อข่าวทำเนียบ ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้ง และมีนายวิชญะ ลูกชายของนายวิษณุ ร่วมเป็นกรรมการและเข้าประชุมครั้งนี้ด้วย

อจ.ปื๊ดแจงงานปฏิรูปกฎหมาย

นายบวรศักดิ์กล่าวหลังการประชุมว่า การหารือของคณะกรรมการ เพื่อวางกรอบโครงสร้างการทำงานซึ่งจะมีคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้และประสบการณ์ เข้ามาช่วยเพื่อปฏิรูปกฎหมายให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ปฏิรูปแค่ในกระดาษเหมือนที่ผ่านมา และเป็นไปตามที่พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้จัดลำดับความ เร่งด่วนของกฎหมายที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในปี 2560 และ2561 เพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับโครงสร้างของประเทศ และต้องให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายและรับรู้ประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคต ทั้งนี้คณะกรรมการมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอให้คณะกรรมการป.ย.ป.ผ่านคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ที่มีพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รับไปดำเนินการ

นายบวรศักดิ์กล่าวต่อว่า กรรมการชุดนี้เป็นที่ปรึกษาให้ความเห็น จึงไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือเสนอว่าควรใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เร่งด่วน เพราะมีหน้าที่มุ่งเน้นจัดทำแผนและจัดลำดับการปรับปรุงหรือออกกฎหมายมากกว่า และเมื่อเสนออะไรไปแล้วนายกฯจะใช้หรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต และขอเชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ ในเรื่องต่างๆ ไม่เฉพาะแค่นักกฎหมาย เสนอตัวเข้ามาช่วยกันทำงาน เกี่ยวกับการปฏิรูป ผ่านทางเปิดเว็บไซต์ของสำนักงานคปก.หรือเสนอโดย ตรงต่อคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ

ตั้งอนุ 5 คณะช่วยงาน

ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นชอบตั้งอนุคณะกรรม การ 5 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการปรับปรุงยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพหรือธุรกิจของประชาชน มีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เป็นประธาน, คณะอนุกรรมการปรับปรุงกฎหมายที่สร้างภาระแก่ประชาชน มีนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ เป็นประธาน, คณะอนุกรรมการติดตามกฎหมายให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และการปฏิรูปประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักนายกรัฐมนตรี ตกลงว่าจะเสนอใครเป็นประธาน

คณะอนุกรรมการกำกับการเสนอร่างกฎหมาย มีนายคำนูณ สิทธิสมาน เป็นประธาน, และคณะอนุกรรมการจัดทำกฎหมายใหม่หรือสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการปฏิรูปประเทศ มีนายบรรเจิด สิงคะเนติ เป็นประธาน, และตั้งโฆษกคณะกรรมการ 4 คน ได้แก่ นายคำนูณ, นายบรรเจิด, นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา และนายวิชญะ เครืองาม ซึ่งคณะกรรมการชุดใหญ่จะประชุมกับทุกวันจันทร์ที่ 1 และวันจันทร์ที่ 3 ของทุกเดือน ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนคณะอนุกรรมการทั้ง 5 ชุด เบื้องต้นจะประชุมที่ อาคารซอฟท์แวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ

ปลัดคลังยันไม่มีแผนขึ้นแวต

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงข้อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ปรับขึ้นแวต 1 เปอร์เซ็นต์ จากขณะนี้เก็บอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ว่า เรื่องนี้เป็นข้อเสนอเดิมๆ ที่เคยเสนอกันมา กระทรวงการคลังไม่มีแผนปรับขึ้นแวตในเวลานี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจยังไม่เหมาะสม เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว หากปรับขึ้นแวตทำให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นสะดุดลงได้

นายสมชัยกล่าวต่อว่า ส่วนเหตุผลปรับขึ้นเพื่อหารายได้นั้น มองว่าไม่จำเป็นเพราะการนำอีเพย์เมนต์มาใช้หากใช้เต็มรูปแบบทำให้มีรายได้เพิ่ม 1 แสนล้านบาท โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเสนอต่ออายุแวต 7 เปอร์เซ็นต์ ไปอีก 1-2 ปี หากไม่เสนอต่ออายุแวตมีผลทำให้แวตเด้งกลับไปอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ทันที โดยอายุแวต 7 เปอร์เซ็นต์ มีกำหนดถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้ คาดว่าจะเสนอ ครม.ในเร็วๆ นี้

พรเพชรยันชงแวตเพิ่มมีน้ำหนัก

นายสมชัยกล่าวว่า ส่วนข้อเสนออื่นๆ ของสนช. เรื่องการเก็บภาษีลาภลอยนั้น กระทรวงการคลังกำลังร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ได้รับประโยชน์ จากโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ หากมีการขายต้องถูกเก็บภาษี เพราะที่ดินดังกล่าวมีราคาแพงขึ้นจากการลงทุนของรัฐ แต่ขณะนี้ยังเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องอัตราไม่ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนข้อเสนอในเรื่องภาษีนิติบุคคลของสนช. ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลรายเดียวกันที่ประกอบธุรกิจในสาขาต่างๆ หลายแห่ง ต้องแยกบัญชีรายได้และรายจ่ายของสาขาแต่ละแห่งแยกออกจากกัน เพื่อเสียภาษีในเขตพื้นที่ที่สาขาตั้งอยู่โดยตรงนั้น กระทรวงการคลังรับข้อเสนอดังกล่าวมาพิจารณา ขณะนี้อยู่ระหว่างการปฏิรูปประมวลรัษฎากรทั้งฉบับใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมายของกรมสรรพากร โดยนำข้อเสนอแนะของสนช.ในเรื่องต่างๆ มาพิจารณาด้วย

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสปท.คนที่หนึ่ง กล่าวว่า ยังไม่สมควรขึ้นแวต เพราะจะกระทบประชาชนและเศรษฐกิจ ควรรอเวลาที่เหมาะสม ส่วนภาษีลาภลอย ควรนำมาใช้ได้แล้ว เพราะเป็นภาษีที่เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบส้มหล่น ถือเป็นรายงานที่ดี ทันสมัย ควรค่าแก่การศึกษา อย่าสนใจเพียงประเด็นเดียวแล้วไม่มองรายงานทั้งฉบับ

ที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาเชิงวิชาการและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนจัดทำรายงานขึ้น เพื่อเสนอความเห็นต่อรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะต้องดำเนินการ ไม่ได้ปลุกกระแสสังคม และไม่ได้สั่งให้รัฐบาลต้องดำเนินการ เป็นเพียงข้อเสนอจาก สนช. ซึ่งตนมองว่ามีน้ำหนักและมีค่า เนื่องจากศึกษามาอย่างเป็นระบบ และไม่ใช่ความเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น

สนช.รับได้ข้อเสนอถูกเมิน

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ รองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)เศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สนช. กล่าวถึงปลัดกระทรวงการคลัง ไม่เห็นด้วยกับรายงานของกมธ.ที่เสนอให้ขึ้นภาษีแวต 1 เปอร์เซ็นต์ว่าไม่เป็นไรที่เขาไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องธรรมดา ข้อเสนอของเราก็ต้องการให้เป็นประโยชน์ เราเองค่อนข้างที่จะเห็นว่าความจำเป็นในการที่จะมีการลงทุนและช่วยเหลือด้านสาธารณสุข และด้านการศึกษา เพราะเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม จึงได้เสนอไป ซึ่งเราเสนอหลายข้อ หากฝ่ายบริหารคิดว่าจัดการได้ก็จัดการไป ก็เอาตามความเห็นของฝ่ายบริหาร ยืนยันเราไม่ได้ขัดกันเลย เพราะเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง และสมาชิกสนช.ทุกคนก็มีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง

ที่อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. กล่าวถึงข้อเสนอเก็บแวตอีก 1 เปอร์เซ็นต์ว่า สถานการณ์ของประชาชนขณะนี้ย่ำแย่กันอยู่แล้วจากปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลยในทางเศรษฐกิจ ดังนั้นความมั่นคงของประเทศในวันนี้ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จึงต้องยอมรับว่าวิกฤตการณ์ในครั้งนี้หนักกว่าปี 2540 เพราะปี 2540 เป็นเพียงคนล้มบนฟูก แต่ปัจจุบันประชาชนล้มระเนระนาดกันไปหมด และไม่รู้ว่าจะต้องทนไปอีกนานเท่าไร ทั้งนี้ตนเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นระเบิดเวลาที่สำคัญจากความทุกข์ของประชาชน และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน