วันที่ 23 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าถามตนว่าคนร้ายมีวัตถุประสงค์ใดก็ไปถามคนร้ายก็แล้วกัน ตนตอบแทนเขาไม่ได้ ถ้าถามว่ามีความยึดโยงครบรอบ 3 คสช.หรือไม่ ตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ขึ้นกับการสอบสวนของตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อย่าถือเป็นการท้าทายลองของกันเลย

ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในรพ.พระมงกุฎเกล้า ตนได้สั่งการเพิ่มเติมกับฝ่ายความมั่นคงไปแล้วให้ตรวจสอบโดยเร็ว ตนกังวลอยู่ว่าอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างเพราะเป็นการติดตั้งกล้องในพื้นที่สาธารณะของโรงพยาบาล ซึ่งความเข้มงวดอาจมีน้อยเนื่องจากไม่มีใครคิดว่าไม่มีใครจะทำให้เกิดเหตุการณ์ในพื้นที่เหล่านี้

ในโลกใบนี้ไม่มีใครทำจริงๆ คนที่ทำตนถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและเป็นการกระทำในสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ ซึ่งคงต้องมีการเร่งรัดดำเนินการส่วนจะได้ตัวคนร้ายหรือไม่อย่างไรต้องใช้ทุกวิถีทางในการสืบสวนสอบสวน และคงต้องไปตรวจสอบดูมาตรฐาน หรือการติดตั้งกล้องภาพรวมว่าเหมาะสมเพียงใด ปัญหาคือกล้องบางตัว บางพื้นที่ติดมาเป็นเวลานาน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามปรับปรุงแก้ไขในเรื่องขีดความสามารถและสมรรถนะของกล้องให้ดีขึ้น แต่จำเป็นต้องใช้งบฯจำนวนงานมาก

วันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้อาจจะยังไม่ได้มัน ต้องสักวันก็ต้องเร่งดำเนินการให้ได้ก็แล้วกัน บางอย่างมันเร่งรัดไม่ได้มากนัก ผมถึงบอกให้มีการทบทวนดูในพื้นที่สาธารณะที่ไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างเดียวและการเกิดเหตุทำนองนี้เมื่อปี 2553 ก็เคยเกิดต้องดูว่ามีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันหรือไม่อยากให้สื่อคิดวิเคราะห์ด้วย สิ่งสำคัญทำไมคนถึงทำให้คิดแบบนี้ ใจร้ายไม่คำนึงถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์และทรัพย์สิน คนเจ็บป่วยก็ทุกข์ทรมานอยู่แล้วยังทำเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาอีกเพื่อหวังผลอะไรก็แล้วแต่ต้องสืบสวนให้ได้

อย่าให้ไปบิดเบือนว่ารัฐบาลเป็นคนทำเอง ไม่มีรัฐบาลบ้าที่ไหนทำแบบนั้นหรอก เว้นแต่คนที่อยากเป็นรัฐบาลแล้วคิดจะทำ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ดังนั้นต้องดูว่าเราแก้ปัญหาอย่างไรให้กับประเทศชาติในเวลานี้อยากให้ย้อนกลับไปดูปัญหาที่ยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์เหล่านี้ที่เราทำที่ผ่านมาเคยมีใครทำหรือไม่ แก้ปัญหาประชาชนอย่างครบวงจรวันนี้เราทำทุกอย่าง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเรามีการประเมินอย่างต่อเนื่องบางอย่างเป็นการประเมินจากฝ่ายความมั่นคงก็ไม่อยากให้ไปโทษใครการข่าวก็มีอยู่ว่ามีคนที่พร้อมจะเคลื่อนไหว ทั้งทางด้านการก่อเหตุร้าย ทั้งทางด้านผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองมันเกิดขึ้นทุกพื้นที่ เรื่องการข่าวรกรองก็มีการคาดว่าจะเกิดที่โน่นที่นี่ตามลำดับ

ซึ่งการข่าวกรองต้องเป็นอย่างนั้นถ้าไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้สายลับไปอยู่ในส่วนต่างๆจะได้รู้ว่าทำที่ไหนอย่างไรและมีการคาดการณ์แต่ตรงไหนที่ชัดเจนว่าจะเกิดแน่นอนก็อยู่ที่การเข้าถึงกระบวนการเราพยายามทำตรงนี้อยู่ เราก็คาดการณ์มาตอลดเวลา แต่ทุกคนคาดการณ์หรือไม่ว่าจะเกิดขึ้นในโรงพยาบาล มีใครคิดไหมคงไม่มี

แต่คนเลวคิดอะไรก็ได้ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาลหรือเปล่าตนไม่แน่ใจตรงนี้ ตนไม่ได้มุ่งประเด็นนี้แต่ก็เป็นประเด็นหนึ่งว่าทำไมมาเกิดในวันที่ 22 พ.ค.เกิดในโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลทหารและทำร้ายประชาชน นั่นคือสิ่งสำคัญที่ต้องนำมาวิเคราะห์ แต่ถึงแม้จะไม่ชอบทหารก็อย่าลืมว่าทุกคนเป็นคนไทยทั้งหมด ใครก็ตามที่หวังผลทางการเมืองและทำแบบนี้คนเหล่านี้ก็จะถูกลงโทษโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยประชาชนนั้นเองจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่จะให้ใครเข้ามาในวันข้างหน้า

ผู้สื่อข่าวถามถึงการก่อเหตุหน้าห้องรับรอง “วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นนามสกุลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นการส่งสัญญาณท้าทายรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่าถือเป็นการท้าทาย ใช้คำว่าโจมตีก็ไม่ได้เพราะไม่ได้รบกัน ท้าทายอย่างไรตนก็ไม่สู้ เพราะตนต้องใช้กฎหมาย และทำงานให้ดีที่สุด

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนก่อเหตุร้าย เป็นเรื่องของคนเลวที่ทำเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่เลวจริงๆทำไม่ได้หรอก ใจร้ายไม่พอหรอกคนเหล่านี้ใจร้ายพอที่จะฆ่าใครก็ได้ เห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรงหวังผลให้เกิดการบาดเจ็บแลสูญเสีย ทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนแก่ชีวิตพวกเราทั้งสิ้น ซึ่งมีในทุกๆที่และทุกประเทศ เราจึงต้องช่วยกันลดและสร้างความร่วมมือกันให้ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเห็นข่าวในหลายประเทศที่มีกรณีระเบิดคล้ายๆเรา แต่เป็นคนละรูปแบบจุดประสงค์คนละอย่างกัน ซึ่งหลายประเทศมีปัญหาเศรษฐกิจ มีการรัดเข็มขัดลดรายจ่าย และมีการประท้วงกันมากมาย แต่ของเรายังไม่ถึงขนาดนั้น ตนคิดว่าวันนี้เราต้องมาใคร่ครวญกันให้ดีว่าเราอยู่ในระดับไหนที่รัฐบาลต้องช่วยมากน้อยแค่ไหน เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศรายได้สูงที่จะมีเพียงให้ได้ทุกอย่าง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน