สมพงษ์ ร่ายยาว 5 ข้อ คุณประยุทธ์ บริหารประเทศล้มเหลว ยันไม่ควรเป็นนายกฯต่อ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 24 ก.พ. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล

นายชวน แจ้งว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้จำนวน ส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่และปฏิบัติหน้าที่ได้ขณะนี้คือ 487 คน องค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 244 คน

ทั้งนี้ การอภิปรายจะจบในเวลา 19.00 น. ในวันที่ 27 ก.พ. โดยไม่รวมการสรุป ซึ่งฝ่ายค้านจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ส่วนฝ่ายรัฐบาลตามข้อบังคับรัฐมนตรีมีสิทธิ์ชี้แจงเมื่อไรก็ได้ ส่วนเรื่องการถวายสัตย์ฯ ของนายกฯ จะไม่อนุญาตให้อภิปรายเนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนการบริหาร ไม่ได้มีคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นประเด็นเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งตามข้อบังคับที่ 69 กำหนดว่าห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์โดยไม่จำเป็น

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายชวน กล่าวต่อว่า เอกสิทธิ์คุ้มครองสมาชิกในการอภิปรายอาจมีกระทบถึงบุคคลภายนอก แต่เอกสิทธิ์คุ้มครองให้เฉพาะการอภิปรายในห้องประชุมเท่านั้น แต่เมื่อมีการถ่ายทอดจะไม่คุ้มครอง ซึ่งครั้งนี้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์และวิทยุ จึงไม่คุ้มครอง

สมาชิกต้องระวังเรื่องบุคคลที่ 3 ด้วยตนเอง ขอให้สมาชิกควบคุมบรรยากาศในสภาตามข้อบังคับ สมาชิก อย่าใช้เครื่องมือสื่อสารใดๆ รบกวนกัน และอย่าเดินถือโทรศัพท์ว่อนห้อง และการอภิปรายต้องไม่ซ้ำซ้อน ซ้ำซาก เสียดสี

จากนั้นเวลา 13.45 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวนำการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ฝ่ายค้านจำเป็นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่อาจให้บริหารประเทศต่อไปได้ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพ ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ทุจริต เอื้อประโยชน์พวกพ้อง การใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความล้มเหลว 5 ประการต่อประเทศ ได้แก่

1.ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย กฎกติการัฐธรรมนูญ อาศัยเสื้อคลุมประชาธิปไตยมากล่าวอ้าง ตำแหน่งนายกฯ มิได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่เพราะเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่สร้างมาเพื่อสืบทอดอำนาจ นำให้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง เงื่อนไขกลไกรัฐธรรมนูญ บั่นทอนความเชื่อมั่นของนานาประเทศ จึงไม่อาจไว้วางใจให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป เพื่อกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยประเทศให้ถดถอยผิดรูปร่าง อับอายชาวโลก ไม่อาจไว้วางใจให้ส่งต่อประชาธิปไตยจอมปลอมถึงรุ่นลูกหลานที่เป็นอนาคตของชาติ

2.ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทำให้หลักความยุติธรรมแปลงร่าง เป็นหลักกูและพวกพ้องอย่างไม่รู้สึกอับอาย เช่น ตีความข้อกฎหมายกับคะแนนปัดเศษ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ได้พรรคเล็กมาหนุนเสริมอำนาจตน การถวายสัตย์ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ ที่เลวร้ายสุดคือการใช้คดีความเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกดดันบุคคลบางกลุ่ม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพวกท่าน ทำลายหลักความยุติธรรม

3.ความล้มเหลวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก่อนและหลังเลือกตั้ง สารพัดแจกมั่วซั่ว เพื่อการสืบทอดอำนาจ เช่น เพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิม ช้อป ใช้เฟสต่างๆ ทุ่มให้สินเชื่อแต่ไร้กำลังซื้อ เป็นตราบาปที่ทำกับเศรษฐกิจประเทศถูกจารึกว่าคนชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจประเทศ

4.ล้มเหลวปราบปรามการทุจริต ที่น่าเศร้าใจสุดคือ ความรุนแรงของการคอร์รัปชั่นกันในกองทัพ ทำธุรกิจหาประโยชน์กันในกองทัพ กลายเป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงที่โคราช ท่านอาจแกล้งหรี่ตามองไม่เห็นเพราะคนที่ทำเป็นคนแวดล้อม แต่ตนไม่อาจทนเห็นการโกงเงินภาษีประชาชนเป็นแสนล้าน

5.ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯ สังคมไทยรับรู้มาระยะหนึ่งว่า เราเป็นประเทศมีนายกฯเป็นตัวตลก น่าอับอายต่อนานาประเทศ การแสดงวิสัยทัศน์และความเห็นต่างๆ แสดงถึงความด้อยซึ่งปัญญา ไม่เหมาะสมหลายครั้ง เช่น การทุบโต๊ะ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว มองเห็นคนเห็นต่างเป็นศัตรู ชอบก่นด่าเมื่อถูกถาม สะท้อนวุฒิทางปัญญาและอารมณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่อาจไว้วางใจให้คนซึ่งประกาศตัวว่า มีเซลล์สมอง 84,000 เซลล์ บริหารประเทศได้ ท่ามกลางความล้มเหลวต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

จึงไม่อาจไว้วางใจให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศต่อไป เพราะตลอดเวลาที่เป็นผู้นำรัฐบาล ไม่เห็นศักยภาพด้านการบริหาร หรือเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้นำประเทศควรมี แต่ทำได้เพียงแค่นักธุรการทั่วไป ทำหน้าที่แค่ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน แต่ไม่รู้จักวิธีหารายได้เข้าประเทศ บริหารบนพื้นฐานของอารมณ์และความรู้สึก มิได้บริหารบนพื้นฐานของความรู้ ดังนั้น ผมไม่อาจไว้วางใจให้บริหารประเทศแล้วทำให้ลูกหลานในอนาคต ต้องรับมอบประเทศไทยที่เป็นซากปรักหักพังต่อจากคนรุ่นเรา” นายสมพงษ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน