“บิ๊กตู่” ปัดไม่พูดการเมือง และความขัดแย้งใน พปชร.ขอแก้ปัญหาโควิด วอน วันนี้ทุกคนต้องไม่มีข้าง สั่งจัดการเฟคนิวส์ ขู่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีโทษหนัก

เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 28 เม.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังประชุม ครม.ตอนหนึ่งว่า อยากเรียนประชาชน วันนี้รัฐบาลไม่ได้ทำแต่เรื่องโควิด-19 อย่างเดียว จำเป็นต้องดูแลเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ เครื่องจักร เครื่องยนต์ ขับเคลื่อนประเทศไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีหลายส่วนงานด้วย ใช้งบประมาณปกติของงบประมาณปี 63 เตรียมแผนการใช้งบประมาณปี 64 เพื่อให้สอดคล้องในการใช้เงินกู้ในการเยียวสถานการณ์โควิด-19

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 1 เดือน มาตรการการจำกัดการเข้า-ออกในราชอาณาจักรทางบก น้ำ และอากาศ ครม.ก็มีมติให้ขยายไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม เช่นกัน

ซึ่งวันนี้เครื่องบินโดยสารต่างๆก็หยุดบิน ต่างประเทศก็ไม่ได้บินเข้ามา ยกเว้นในเรื่องของการขนส่งสินค้า หรือการบริการรับ-ส่งในการนำคนไทยกลับเข้าประเทศ สำหรับการประกาศเคอร์ฟิว ก็ยังคงเวลาเดิมคือระหว่างช่วงเวลา 22.00 -04.00 น. การงดหรือการชะลอข้ามพื้นที่จังหวัดก็ยังคงมีอยู่ก็ขอฝากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดูแลเพื่อลดการแพร่ระบาด จะได้มีการควบคุมและตรวจสอบได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่มีความเป็นห่วงอีกประเด็นหนึ่งคือเมื่อเราคลายการปลดล็อคไปแล้ว ก็ขอให้ประชาชนระมัดระวังการเข้าไปในพื้นที่ที่มีกิจกรรมแออัดมากๆไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางศาสนาหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามต้องระมัดระวังตัวเองทั้งหมดก็เพื่อตัวของพวกท่านเองและครอบครัว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า สำหรับมาตรการผ่อนปรนเรา จะทำเป็นระยะๆแบบค่อยเป็นค่อยไป จะพิจารณากิจกรรมที่จำเป็นเสี่ยงน้อยก่อน และจะต้องมีมาตรการคู่มือ การตรวจสอบประเมินผล การตรวจสอบด้านการสาธารณสุข ในกลุ่มเสี่ยงต่างๆดังนั้นสถานประกอบการก็ต้องเตรียมการในส่วนของตัวเองให้พร้อม

ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันอีกครั้งจากมาตรการที่รัฐได้ออกไปตรงกลางแล้ว ทุกคนสามารถเพิ่มเติมในส่วนของตัวเองได้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าสถานที่ของท่านปลอดจากโควิด เจ้าหน้าที่ พนักงานต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการตรวจโรคจะต้องทำให้คนเกิดความไว้วางใจในการที่จะเข้าไปยังสถานที่นั้นๆ อย่างไรก็ตามหากมีการคลายล็อคก็จะมีการแจ้งให้ทราบในเร็วๆนี้และเมื่อถึงเวลาที่จะปลดล็อคก็จะประกาศให้ทราบ

“วันนี้ขอร้องทุกคนอย่าเรียกร้องมากนัก วันนี้ขอให้เอาส่วนของตรงกลางมาพิจารณาในนโยบายก่อน ในส่วนของแนวปฏิบัตินั้นก็ต้องฟังจากท้องถิ่นและพื้นที่ด้วยโดยเฉพาะจากกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด อย่างไรก็ตามเราต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดที่อาจจะกลับมาทำให้ทุกอย่างที่ทำไปนั้นเสียเปล่าโดยสิ้นเชิง ผมไม่ต้องการให้ย้อนกลับไปเหมือนกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้หลายคนมีปัญหาเรื่องของเฟกนิวส์ ซึ่งตนได้เน้นย้ำให้ทุกกระทรวงได้ติดตามกรณีที่มีการแพร่คำพูดที่บิดเบือนต่างๆจากข้อเท็จจริงไป จนทำให้เกิดผลกระทบในการทำงาน ตรงนี้ต้องใช้กฎหมายเข้าไปดูแล ไม่ใช่เป็นการไปละเมิดท่าน

เพียงแต่ท่านละเมิดใครท่านก็ต้องถูกกฎหมายดำเนินการในเรื่องเฟคนิวส์ การให้คำบิดเบือนโดยมีกฎหมายปกติคือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับหมิ่นประมาท แต่วันนี้อย่าลืมมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งมีข้อกำหนดอยู่แล้วในเรื่องนี้ ค่อนข้างจะแรงกว่ากฎหมายปกติ ฉะนั้นขอทุกคนระมัดระวังด้วย และสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด จะเห็นว่าที่ผ่านมามีการจับกุมดำเนินคดีหลายรายการ หลายผู้ต้องหา และทุกคนพูดอย่างเดียวคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งก็ต้องไปพิสูจน์ทราบตัวเองในชั้นศาล

ในช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีปัญหาความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)และกระแสข่าวที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ต้องการเข้าไปเทคโอเวอร์ทั้งหมด รวมทั้งคลื่นใต้น้ำ ซึ่งเป็นศึกในของ พปชร.รวมทั้งกรณีเครือข่ายนักศึกษา บางส่วนรณรงค์ “ม็อบออนไลน์” และ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ประกาศผ่านเฟสบุ๊ก หมดโควิดเจอกัน

โดยกล่าวเพียงว่า ในส่วนการเมืองขออนุญาตไม่ตอบในช่วงนี้เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ช่วงนี้เป็นเรื่องการทำงานของเรามากกว่าที่จะดูแลฟื้นฟูและจะคืนความสุขอะไรประชาชนได้บ้างตามระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ที่ถามมาหลายเรื่องเป็นเรื่องการเมืองตนขอไม่ตอบดีกว่า

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรื่องหลักๆเป็นเรื่องของการต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องการผ่อนปรน เรื่องอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์หรือสร้างความบิดเบือนความไม่เข้าใจ คิดว่าอย่าพูดกันเลยดีกว่าในช่วงนี้ต้องขอร้องไปยังประชาชนทุกภาคส่วน มันต้องมีคนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

แต่ถ้าเราช่วยกันมองเห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาล ของครม. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคน มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาประชาชน เราไม่สามารถดูแลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะต้องดูความเดือดร้อนเป็นหลักและดูสถานการณ์ด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ขอขอบคุณครม.ทุกคนและทุกภาคส่วน


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน