เต้น พูดที่นี่! “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ขอเจาะลึก ‘พฤษภา 53’ จนต้องเลิกเม้าท์ว่า ‘เผาบ้านเผาเมือง’ เคยเจรจากับรัฐถึง 3 ครั้ง แต่ไม่เป็นผล เพราะอะไร?

ผ่านมากว่า 10 ปี สำหรับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อเดือนเมษา-พฤษภา 2553 บ้างก็เรียกว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หลายคนอาจจะมองเหตุการณ์นี้ เป็นเพียงเหตุการณ์ความวุ่นวาย ที่มีเหตุเพลิงไหม้ตามห้างสรรพสินค้า สถานที่หลายแห่ง และความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างและช่วงที่มีการสลายการชุมนุม หลายคนพูดถึงขนาดว่า นี่คือการ “เผาบ้านเผาเมือง”

แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร หรือมองเหตุการณ์นี้ในมุมไหนก็ตามที ความจริงหนึ่งของเหตุการณ์นี้ที่ไม่ควรลืม คือ “คนตายเกือบ 100 ชีวิต” ทั้งผู้ชุมนุมที่เป็นเพียงประชาชนธรรมดา และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุม และช่วงที่มีการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเวลานั้น

เบื้องหลัง “จากเจรจา สู่การฆ่าประชาชน”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งกับ “ข่าวสด” บอกเล่าถึงเบื้องหลังเหตุการณ์ การสลายการชุมนุม เมื่อเดือนพฤษภา 2553 ระบุว่า ก่อนการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 มีการเจรจากันระหว่าง ส.ว. กับ แกนนำผู้ชุมนุมเสื้อแดง ณ.ขณะนั้น ในตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ว่าวันรุ่งขึ้น

ตนจะเป็นแกนนำ นปช.ที่ยังเหลืออยู่ ไปหารือกับรัฐบาลที่อาคารรัฐสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา รับหน้าที่คนกลาง เราได้รับคำตอบว่าประธานวุฒิสภารับทราบ ได้รับคำยืนยันว่า คุณอภิสิทธิ์ตอบรับ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือเช้ามืดวันที่ 19 พ.ค.มีการใช้กำลังทหารเข้ากระชับวงล้อมสลายการชุมนุม กำลังเจ้าหน้าที่ทหารและอาวุธมากมายเข้าปราบปรามประชาชนด้วยยุทธิวิธีทางทหารเต็มรูปแบบ สิ่งที่เราไม่ได้เห็นในวันนั้นขาดแต่เพียงอากาศยานรบ เรือรบ ยานยนต์หุ้มเกราะหรือรถถังที่ใช้ทำลายล้าง

และสิ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นกลับได้เห็น คือการใช้ปืนติดกล้องสำหรับยิงระยะไกลจนมีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก การประกาศเขตกระสุนจริงก็ไม่อาจเป็นความทรงจำที่ลบเลือนไปได้ แม้เกิดเหตุปราบปรามประชาชนมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลซึ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชนประกาศเขตกระสุนจริง

วันที่ 19 พ.ค.53 หากรู้ว่าจะมีการใช้กำลังฆ่ากันตนจะไม่เดินไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนนึกว่าจะเป็นอย่างที่คุยกัน เหมือนเหตุการณ์ปี 2552 ที่ผมลงจากเวทีคนสุดท้าย เมื่อเราประกาศจะมอบตัวเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีรถมารับพี่น้องประชาชนที่อยู่หน้าเวทีและรอบๆที่ชุมนุมให้กลับภูมิลำเนา เจ้าหน้าที่จะดูแลเขาอย่างปลอดภัย

เขาบอกให้ประชาชนเดินทางไปที่ถนนเส้นทางไปสนามศุภชลาศัย จะมีรถคอยรับ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้กลับบ้านได้ ผมลงจากเวที ก็เดินไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าหน้าที่เอาไมโครโฟนให้ผมประกาศบอกกล่าวพี่น้องให้สลายตัว

มารู้อีกทีว่าพี่น้องไม่ได้กลับบ้าน ต้องไปซ่อนตัว หนีตายอยู่ในวัดปทุมวนาราม แล้วมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 6 ศพหน้าวัดปทุมฯ ผมไม่ควรเดินไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้ายังไม่เห็นว่าพี่น้องกลับบ้านได้จริง

“ผมคิดว่าข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง คือให้มีการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย เป็นข้อเรียกร้องที่เจียมเนื้อเจียมตัวที่สุดในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ผมมีคำตอบในใจ ว่าเขาทำสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร แต่อยากฟังจากปากผู้มีอำนาจตัดสินใจขณะนั้นว่าเขาคิดอย่างที่ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” นายณัฐวุฒิ กล่าว

เจรจาหลายครั้ง โดนล้มโต๊ะทุกครั้ง

นายณัฐวุฒิ เปิดเผยอีกว่า แม้ว่ามีหลายคนพยายามสร้างวงเจรจา สร้างสันติ แต่สิ่งที่ตนพบจนเป็นความทรงจำด้วยคือความพยายามของกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากผู้มีอำนาจจริงๆ ตนพูดคุยกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นคนแรก ซึ่งได้รับมอบหมายจากคุณอภิสิทธิ์ การเจรจาเดินหน้าด้วยบรรยากาศที่ดี จนวันหนึ่งมาบอกตนว่าคุณอภิสิทธิ์สั่งให้หยุดการเจรจา

ตนเจรจากับคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ คนต่อมา ซึ่งได้รับมอบหมายจากคุณอภิสิทธิ์ ในที่สุดก็ยุติการเจรจา ตนเจรจากับ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ตัวแทน ส.ว.ในที่สุดก็ยุติการเจรจา แล้วมีการใช้กำลังในวันที่ 19 พ.ค.

“อย่าลืม!!!”

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า อยากให้สังคมไทยจดจำไม่ให้ลบเลือน คือคนเจ็บ คนตาย ทั้งหมดยังเข้าไม่ถึงความยุติธรรม ยังไม่มีกระบวนการยุติธรรมใดๆ ที่ทำให้คดีความของคนเจ็บ คนตาย ได้รับการชำระสะสางตามพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง มีคำพิพากษาว่าใครเป็นคนกระทำผิด มีบทลงโทษผู้กระทำความผิด ยังไม่มี

เหตุการณ์ในปี 53 เกิดคดีความมากมาย ตั้งแต่คดีพื้นฐานอย่างการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนคดีอุกฉกรรจ์โทษสูงสุดคือประหารชีวิต อย่างคดีก่อการร้าย คดีความเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผ่านไปสิบปีหลายคดีถึงที่สุดด้วยคำพิพากษาศาลฎีกา หลายคดีผ่านศาลชั้นต้น รอการอุทธรณ์ หลายคดีผ่านศาลอุทธรณ์รอการฎีกา

“แต่มีคดีเดียวที่ยังไม่ถึงศาล คือคดีเสียชีวิตทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ รวม 100 ราย ไม่น่าจะเป็นความทรงจำของ แกนนำนปช. ผู้ชุมนุมหรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ต้องเป็นความทรงจำของประเทศว่าเราจะปล่อยให้มนุษย์ถูกฆ่าตายโดยไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ยิ้งทิ้งคนร้อยศพ คำอธิบายที่หายากกว่า “หมูหมากาไก่”

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า หลังเหตุการณ์ผ่านมาหลายปี ตนพยายามเปรียบเทียบกับหลายๆ เหตุการณ์ ที่มีคนเจ็บคนตาย หมู หมา กา ไก่ ที่ถูกฆ่าก็จะมีคนในสังคมออกมาเรียกร้องความยุติธรรม ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์เดียวจริงๆ ที่คนตายกลางเมืองหลวงนับร้อย แล้วเสียงสะท้อนจากสังคมส่วนใหญ่เป็นความเงียบงัน ในใจใครหลายคนอาจรู้สึกเหมือนที่เรารู้สึก ว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น ไม่ควรมีใครถูกเข่นฆ่า แต่ด้วยเงื่อนไขอะไรก็ตามพวกเขาไม่พูดออกมา พวกเขาไม่แสดงออกมา

ทุกการเข่นฆ่าจะมีคำอธิบายตามหลังว่าฆ่าเพราะเป็นคนร้าย ต่อสู้เจ้าหน้าที่ ฆ่าเพราะล้างแค้น บุกป่าล่าสัตว์ก็ยังต้องการเนื้อหนัง ขน เขา แต่การตาย 100 ศพไม่มีคำอธิบายอะไร ไม่มีการแสดงออกจากฝ่ายอำนาจว่าต้องจัดการเรื่องนี้แม้ว่าต้องใช้วิธีการพิเศษ เพื่อให้มีคำอธิบายในประวัติศาสตร์ว่าจบแล้ว ซึ่งไม่มี

“การปล่อยไปเฉยๆ แบบนี้ ความหมายคือการยิงทิ้ง ยิงคนที่ต้องการสิทธิ์เลือกตั้ง ยิงทิ้งคนที่ไม่ยอมทิ้งอำนาจอธิปไตยของตัวเองไปกับรัฐบาลที่ตั้งโดยกลไกนอกระบบในค่ายทหาร ไม่มีคำอธิบายอื่นนอกจากว่า 10 ปีมาแล้วเกิดเหตุยิงทิ้งกัน” นายณัฐวุฒิ กล่าว

เคลียร์ชัด วาทะกรรม “เผาบ้านเผาเมือง”

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงวาทะกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” ที่ถูกปั่นมาตลอด 10 ปีว่า ตลอดเวลานับ 10 ปี ตนพบเห็นคนจำนวนมาก ที่เริ่มต้นความร่วมสึกกับตนว่า เป็นคนประกาศวาทะกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” ที่ทำให้ให้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ เกิดเหตุเพลิงไหม้ เพื่อนร่วมงาน ร่วมรุ่น ญาติมิตร จำนวนไม่น้อย เคยแสดงออกเช่นนั้น แต่เวลาผ่านไป เขาเห็นและเข้าใจอะไรมากขึ้น เขาก็มองตนในมิติที่เข้าใจผมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

ส่วนที่เคยมีการเผยแพร่คลิปวีดีโอที่ตนปราศรัยบนเวที และถูกตัดทอนบางประโยค เช่น “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” โดยคลิปดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ ในช่วงเวลานั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า

เป็นการตัดต่อถ้อยคำเพียงไม่กี่วินาที จากการปราศรัยร่วม 30 นาที จากการปราศรัยที่จันทบุรี เมื่อเดือนมกราคม 2553 ก่อนการชุมนุมใหญ่ประมาณ 3 เดือน เจตนาเดียวสำหรับคนตัดต่อคลิปดังกล่าว ก็คือต้องการทำให้การชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดง เป็นขบวนการเผาบ้านเผาเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชน

คลิปวีดีโอดังกล่าว ถูกนำมาตัดต่อหลังการชุมนุมยุติแล้ว ตนได้พบเห็นจากทางทีวีในช่วงการแถลงข่าวของ ศอฉ. และมีการเปิดวนไปวนมาหลายรอบ ในช่วงเวลาที่ตนถูกจำคุก และไม่สามารถจะออกมาแสดงความจริงในอีกแง่มุมหนึ่งได้

“ที่สำคัญ คลิปวีดีโอดังกล่าว ถูกหยิบเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ในคดีก่อการร้ายกับพวกผม อัยการเปิดคลิปนั้นหน้าบัลลังก์ศาล ให้พยานปากเอกของคดี นั่นคือ คุณถวิล เปลี่ยนศรี (อดีตเลขา สมช.) เบิกความ คุณถวิลเบิกความในชั้นแรก ว่านั้นคือคำปราศรัยของผมในวันที่ 8 เมษายน 2553

เมื่อถึงรอบทนายจำเลยซักค้าน ผมให้ทนายจำเลยนำคลิปเต็มไปเปิดในศาล และก็เลยมาถึงประโยคนั้น จากนั้นก็ถามคุณถวิลอีกครั้ง ว่าพยานยืนยันหรือไม่ ว่าคลิปปราศรัยดังกล่าว เป็นคำปราศรัยของผมที่แยกราชประสงค์

คุณถวิลก็กลับคำให้การต่อหน้าบัลลังก์ศาล ว่าไม่ใช่อย่างที่เคยให้การในรอบแรก แต่เป็นคำปราศรัย ที่จันทบุรี เมื่อเดือนมกราคม 2553 และในเวลานั้น ไม่มีการประกาศนัดหมายชุมนุมใหญ่ ยังไม่มีใครในโลกซักคนเดียว ทราบว่าจะมีการชุมนุมใหญ่เกิดขึ้นใหญ่ และไม่มีใครทราบเลยว่า จะมีการเคลื่อนการชุมนุมไปที่แยกราชประสงค์ ในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน และในที่สุด ศาลก็ยกฟ้องผมในคดีก่อการร้าย” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า วาทกรรมเผาบ้านเผา เมืองที่ถูกปลุกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงนั้น ส่วนตัวไม่รู้สึกเป็นปัญหามากนัก เพราะบริสุทธิ์ใจและเชื่อมั่นว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งการหรือก่อเหตุวางเพลิงใดๆทั้งสิ้น

แต่ในทางประวัติศาสตร์การเมือง เป็นยุทธศาสตร์ของฝ่ายผู้มีอำนาจ ที่ต้องสร้างความชอบธรรม สร้างภาพให้ประชาชนเหยื่อที่ถูกปราบปรามเป็นขบวนการอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นวิธีคิดที่อำมหิต สังคมต้องเรียนรู้และอธิบายความจริงเพื่อไม่ให้วิธีการแบบนี้ ถูกนำกลับมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

6 ตุลา 19 การปราบปราบประชาชนเกิดขึ้น จบลง และดำเนินไปด้วยวาทกรรมว่าใน มธ.มีอุโมงค์ลับ เป็นกองกำลังจากต่างชาติ ขบวนการคอมมิวนิสต์ ไม่ประสงค์ดีต่อสถาบันเบื้องสูง มีพฤติกรรมจาบจ้วง สิ่งเหล่านี้เป็นแบบพิมพ์เขียวเดิม ซึ่งถูกเอามาจับกับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปี 52 และ 53 ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายทบทวนตระหนักว่า นี่คือขบวนการปกติที่ผู้มีอำนาจใช้ทุกครั้งเมื่อมีการใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชน


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน