พ.ร.ก.ฉุกเฉิน – เมื่อวันที่ 22 พ.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้าพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า พอได้แล้วหรือยังกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในตอนแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้คนอาจเห็นด้วย เพราะความกลัวว่าภยันตรายจากโรคระบาดนั้นใกล้เข้ามาทุกที ทั้งมีแนวโน้มตัวเลขคนเจ็บคนตายที่อาจจะมีจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไทยก็สามารถควบคุมตัวเลขคนป่วยคนตายให้ต่ำกว่าวันละ 10 ได้แล้ว

ผู้คนหายตื่นตระหนกและกลับมาตั้งคำถามว่าประเทศไทยสามารถทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยลง เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ มาจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลสืบทอดอำนาจจริงหรือไม่ หรือเอาเข้าจริง เป็นเพราะความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจจากบุคลากรทางด้านสาธารณสุข

ทั้งแพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) และความเสียสละของพี่น้องประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจกันรักษาระยะห่างทางสังคม และการคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและคงเคอร์ฟิวเอาไว้นั้น เพื่ออะไรกันแน่ มีไว้เพื่อแก้ปัญหาความแตกแยกภายในของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล

รวมถึงการขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ กับคณะรัฐมนตรีที่มาจากหลายพรรคหลายกลุ่ม จนต้องรวบอำนาจไว้ที่ตัวเองคนเดียว จนเป็นเปรียบเสมือนการ “รัฐประหารโควิด-19” เอารูปแบบการบริหารงานรัฐบาลแบบ คสช.กลับมาใช้อย่างนั้นหรือ หรือมีไว้เพื่อป้องกันนักศึกษาและประชาชนที่จะออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลที่ขาดทั้งความชอบธรรมและขาดทั้งประสิทธิภาพหรือไม่
“พี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ โปรดอย่ายอมให้รัฐบาลทำเรื่องที่ผิดปกติจนกลายเป็นเรื่องปกติ New Normal ต้องไม่ใช่ Abnormal มาร่วมกันรณรงค์ให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน เพื่อปากท้อง และเพื่อเสรีภาพในการใช้ชีวิต ในการคิดการเขียน และการแสดงออกของทุกคน” นายปิยบุตร ระบุ

ครบ 6 ปี ยึดอำนาจ มีแต่วิกฤต

ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติต่ออายุการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือนว่า สถานการณ์รัฐบาลในขณะนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธารอบด้าน จากการบริหารไร้ประสิทธิภาพในแทบทุกมิติ พยายามเอาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละคนสองคน บางวันเป็น 0 มาขังประชาชน 67 ล้านคน

ปิดโรงเรียนแต่เปิดห้าง เยียวยาล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ล่าช้าไม่ทันสถานการณ์ ห้ามคนทำมาหากิน ออกมาตรการใดมาประชาชนก็เกิดคำถามและไม่เชื่อมั่น หวาดระแวงกลัวรัฐบาลล้วงข้อมูลส่วนตัว กระทบต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล หรืออาจนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่

การต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน รัฐบาลมีแต่ได้กับได้ แต่ความเสียหายเกิดกับประชาชน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ผล คือความร่วมมือร่วมใจของประชาชน ไม่ใช พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผลสำรวจพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนใน 6 ประเทศกลุ่มอาเซียน พบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการใส่หน้ากากอนามัยและการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์สูงสุดในอาเซียน

เทียบกับเพื่อนบ้านเกรงว่าประชาชนจะไม่กลัว เลยไปเทียบกับประเทศที่มีการติดเชื้อและเสียชีวิตมากๆ เพื่อจะข่มขู่ประชาชนว่าการ์ดอย่าตก และใช้เป็นข้ออ้างขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปเรื่อยๆ ให้นานที่สุด สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือยุติสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เพื่อให้บรรยากาศกลับคืนสู่สภาวะปกติ ฟื้นฟูความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน

“22 พฤษภาคม 2563 ครบ 6 ปีรัฐประหาร ผ่านการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจมา 1 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่แก้ไข มีแต่ความพยายามแช่แข็งประเทศ หลบหลังโควิด กระชับและรักษาอำนาจที่ยึดมาไว้ให้นานที่สุด” นายอนุสรณ์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน