“บิ๊กตู่” โอด หมุนเงินไม่ทัน จึงต้องกู้ 1 ล้านล้าน ยัน ก.คลัง ต้องแจงแผนใช้จ่าย ให้สภาฯ ทราบ ภายใน 60 วัน เน้นใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก

เวลา 11.20 น.‬ เข้าสู่การพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 3 ฉบับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า เนื่องจากปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิดไปทั่วโลก ยังไม่มียารักษา และวัคซีนป้องกัน ไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้

ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2563 ที่ต้องมีการปิดสถานประกอบการ สนามบิน ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว มีผลต่อการจ้างงาน ประเมินว่า การระบาดจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2563 ทำให้รายได้ประเทศลดลง 928,000 ล้านบาท อาจมีคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึงล้านคน จีดีพีไทย จะติดลบ 5.0 – 6.0

แม้รัฐบาลจะพยายามทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งการจัดสรรงบรายจ่ายปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การจัดทำ พ.ร.บ.โอนงบประมาณปี2563

แต่แหล่งเงินดังกล่าวไม่ เพียงพอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประเทศให้กลับมาสู่สภาวะปกติโดยเร็ว รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องหยุดยั้งการแพร่ระบาดโรค และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ การดำเนินการดังกล่าวรัฐบาลประมาณการว่า ต้องใช้เงินเร่งด่วนประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่ไม่อาจดำเนินการโดยงบประมาณปกติได้ จึงเป็นกรณีฉุกเฉิน และเป็นทางเลือกสุดท้ายรัฐบาลในการตรา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้าน บาท เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การตราพ.ร.ก.ดังกล่าว รัฐบาลตระหนักถึงข้อห่วง ใยต่อประเด็นการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ความคุ้มค่า และความโปร่งใสการใช้จ่ายเงินกู้ จึงกำหนดกรอบวินัยการกู้เงิน โดยกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศ วงเงินไม่เกิน 1ล้านล้านบาท

โดยต้องลงนามในสัญญากู้เงินหรือออกตราสารหนี้ไม่เกินวันที่ ‪30 ก.ย.2563 การกู้เงินตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ นำไปใช้จ่ายใน 3 แผนงานหลักได้แก่‬ โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท , โครงการเพื่อช่วยเหลือเยียวยา ชดเชยให้ประชาชน เกษตรกร และ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโรคโควิด-19 วงเงิน 555,000 ล้านบาท

และ โครงการพื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 4 แสนล้านบาท กำหนดให้มีคณะ กรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองโครงการก่อนเสนอครม.อนุมัติ

โดยกำหนดให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการกู้เงินเสนอต่อรัฐสภาเพื่อทราบ ภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณด้วย รายงานดังกล่าวจะครอบคลุมถึงรายละเอียดการกู้เงิน วัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงผลสัมฤทธิ์ประโยชน์ที่ได้รับ

“การตราพ.ร.ก.กู้เงินครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า จะส่งผลกระทบต่อสถานะหนี้ของประเทศ แต่เพื่อให้สภาและประชาชนมั่นใจการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล ขอเรียนว่า การกู้เงินของรัฐบาล 1 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกับการกู้เงินกรณีอื่นๆแล้ว จะไม่กระทบต่อกรอบบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ

โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อ จีดีพี สิ้นเดือน ก.ย. 2564 จะมีสัดส่วนร้อยละ 59.96 ซึ่งไม่เกินกรอบ ร้อยละ 60 สำหรับแนวทางการกู้เงิน เบื้องตันจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกันจะพิจารณาเงื่อนไข และ ต้นทุนการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศอีกทาง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรอง หากสภาพคล่องในประเทศไม่เพียงพอ เพื่อไม่เป็นการแย่งเงินทุนกับภาคเอกชนที่จำเป็นต้องระดมเงินจากตลาดการเงินในช่วงเวลาเดียวกัน”นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่วต่ออว่า ขณะที่การชำระหนี้นั้น กระทรวงการคลังวางแผนการชำระหนี้อย่างเป็นระบบ เพื่อกระจายความเสี่ยง และดูแลต้นทุนการกู้เงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การชำระหนี้ภายใต้พ.ร.ก.ยังอยู่ในระดับที่รัฐบาลบริหารจัดการได้

ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญในการกำหนดกระบวนการกลั่นกรองโครงการผ่านกลไกคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ จะต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ อยู่ภายใต้แผนงานและโครงการที่กำหนดตามบัญชีท้าย พ.ร.ก.เท่านั้น ต้องกลั่นกรองความคุ้มค่าโครงการ ไม่ช้ำซ้อนกับเงินงบประมาณ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสภาฯจะอนุมัติพ.ร.ก.ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจประเทศต่อไป


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน