“ทบ.”เปิดไทม์ไลน์ “หมู่อาร์ม” ร้องสายตรง “บิ๊กแดง” ยก 5 ประเด็นแจง

วันที่ 4 มิ.ย.ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก สั่งการให้ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานกรมพระธรรมนูญทหารบก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงกรณี ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี สังกัดศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก ร้องเรียนถูกข่มขู่ จนต้องหนีราชการและอาจถูกปลดออกจากราชการ หลังร้องเรียนเรื่องทุจริตภายในหน่วยใน 5 ประเด็น

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

โดยยืนยันว่า กองทัพบกมีนโยบายและให้ความสำคัญกับการให้ความเป็นธรรมต่อกำลังพลในทุกเรื่องทุกปัญหาเดือดร้อน โดยผ่านกลไกตามสายการบังคับบัญชา กฎระเบียบ และกฎหมาย กรณีดังกล่าวมีบางเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงและบางเหตุการณ์ถูกนำไปเชื่อมโยง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ทางกองทัพบกจึงขอเรียนให้ทราบถึงข้อมูลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวดังนี้ ประเด็นที่ 1. เรื่องการร้องเรียน ของ ส.อ.ณรงค์ชัย ได้ใช้ช่องทางผ่านสายตรง ผู้บัญชาการทหารบก ร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม มิได้ใช้ระบบการร้องเรียนตามสายการบังคับบัญชา โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

– ก.ย.62​ เกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้บังคับบัญชา

– ต.ค.62 ​หน่วยต้นสังกัดตั้งกรรมการสอบ ผลสอบระบุกระทำผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาโทษจำขัง ระหว่าง 18 – 24 มี.ค.63

– วันที่ 12 มี.ค. 63 ส.อ.ณรงค์ชัย ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ.เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ระงับการสั่งขัง จากกรณีการผิดวินัยเมื่อ ก.ย. 62

– วันที่ 13 มี.ค. 63 โทรมาสายตรง ผบ.ทบ.ขอยกเลิกการร้องเรียนเมื่อ 12 มี.ค.63
( เนื่องจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนมีการประสานงานให้ เจ้าตัวเห็นถึงความจริงใจของ กองทัพบกที่เรื่องร้องเรียนได้รับการช่วยเหลือ กองทัพบก ได้มีการตรวจสอบและให้หน่วยพิจารณาทบทวน ซึ่งต้นสังกัดยังคงผลการลงโทษตามเดิม เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร )

วันที่ 18 มี.ค.63 ​ทางส.อ.ณรงค์ชัยได้หนีราชการ

วันที่ 19 มี.ค.63 ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม

วันที่ 14 เม.ย.63 ​ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม และเข้าร้องต่อคณะกรรมธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสภาผู้แทนฯ

และวันที่ 27 เม.ย.63​ ได้เดินทางไปร้องเรียนต่อ กมธ.

พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ 2. กองทัพบกได้ดำเนินการตรวจสอบโดยทันทีในเรื่องการทุจริตในศูนย์ซ่อมสร้างฯ ในประเด็นการให้ข้อมูลเรื่องการทุจริต ในศูนย์ซ่อมสร้างฯ ซึ่งประเด็นนี้แม้ว่า ผู้บัญชาการทหารบก อาจไม่ได้รับเรื่องร้องในระบบ ทบ.แต่ด้วยมีการกล่าวถึงโดยข่าวจากสื่อมวลชน

ในเรื่องนี้ทาง ผบ.ทบ. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการสอบสวนได้รายงานพบว่าน่าจะมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง ผบ.ทบ.จึงมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อไป โดยส่งเรื่องต่อไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา

ซึ่งหาก ป.ป.ช. รับเรื่องไว้ไต่สวนและคดีมีมูลในส่วนการวินิจฉัยจะมีผลทั้งทางคดีอาญา และทางวินัย ต่อข้าราชการ ที่กระทำผิดต่อไป

“ยืนยันกองทัพบกไม่มีการปกป้องผู้ที่กระทำผิดต่อหน่วยงาน เพราะกองทัพบกก็ได้รับความเสียหายจากการทุจริตเช่นกัน สำหรับการดำเนินการของ กองทัพบกในเรื่องการทุจริตนั้น ในช่วงต้นเดือน พ.ค.63 ผบ.ทบ. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพื่อไต่สวนเรื่องการทุจริตในศูนย์ซ่อมสร้างฯจากนั้นช่วงปลายเดือน พ.ค.63 คณะกรรมการฯ ได้สรุปผลการสอบสวน

ทั้งนี้หากเทียบ จากลำดับเหตุการณ์ตามห้วงเวลาจะเห็นได้ว่าการร้องเรียนเข้ามาที่สายตรง ผบ.ทบ. จะสอดคล้องกับห้วงเวลาที่ ผบ.ทบ.สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตศูนย์ซ่อมสร้างฯ แสดงให้เห็นว่า กองทัพบก ได้ดำเนินการทั้งสองเรื่องควบคู่กันไปโดยทันที แต่อาจจะไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณะได้รับทราบ”พ.อ.วินธัย กล่าว

พ.อ.วินธัย กว่าวอีกว่าประเด็นที่ 3.ส.อ.ณรงค์ชัยถูกดำเนินคดีเพราะขาดราชการ มิใช่จากการร้องเรียน แต่สืบเนื่องจาก ส.อ.ณรงค์ชัย มีข้อพิพาทกับผู้บังคับบัญชา เรื่องความประพฤติและกระทำผิดวินัย โดยไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย ใช้กิริยาวาจาไม่สมควรต่อผู้บังคับบัญชา ตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร มาตรา 2(5),2(7)

ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ก.ย.62 โดยทางหน่วยต้นสังกัดได้ดำเนินการตามระเบียบ ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีมติพิจารณาโทษกำหนดจำขัง 7 วัน ตั้งแต่ 18-24 มี.ค. 63 แต่มีการหลบเลี่ยง นำไปสู่การหนีราชการ ตั้งแต่ 18 มี.ค.63 จนถึงปัจจุบัน

ซึ่งการหนีราชการเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร ที่ทหารทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หน่วยต้นสังกัดจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและดำเนินคดีในความผิดฐานหนีราชการทั้งในด้านวินัยและอาญา แต่ในกระบวนการทางคดีอาญา ศาลทหาร เป็นผู้พิจารณาต่อไป

ดังนั้นจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงชี้ให้เห็นได้ว่า ส.อ.ณรงค์ชัย ได้ถูกดำเนินคดีจากฐานความผิดเรื่องหนีราชการ มิใช่จากการที่ไปร้องเรียนการทุจริตในหน่วยงาน ( พ.ร.บ.วินัยทหาร เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของกองทัพ และของประเทศชาติ เป็นหลักกฎหมายสากลที่ใช้กับกองทัพทั่วโลก เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ)

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า จุดเริ่มต้นเป็นการลงเวลาทำงาน ทางผู้บังคับบัญชาอยากให้ลงเวลาให้ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งทางทหารมีความสำคัญ การโกหกนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ทุกอย่างถือเป็นความผิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากหน่วย พอเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาจนกระทั่งไปสู่การใช้วาจา และ อารมณ์ต่อกัน

ในแง่มุมของทหารนั้น ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา มีความสำคัญมาก เพราะเราเป็นสังคมที่ถืออาวุธ ซึ่งในหลักสากลถือว่ามีความสำคัญ เมื่อเดือนกันยายน เป็นเรื่องความขัดแย้งล้วนๆ พอเดือนมี.ค.จึงมีประเด็นเรื่องทุจริตออกมา เมื่อหน่วยเริ่มพิจารณาโทษจากเรื่องที่เกิดขึ้นเดิม

“เหตุเริ่มต้นที่เขา ร้องเรื่องทุจริตคือเรื่องตั้งแต่ปี 2560 เกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ส่วนโครงการอบรมยาเสพติดเกิดขึ้นถัดจากนั้น โดยตั้งแต่ต้นมี กรมจเรทหารบก และสำนักตรวจภายใน หรือ สตน. เข้าไปตรวจสอบตลอด สิบเอกณรงชัยก็พบกับหน่วยงานตรวจสอบ

แต่ไม่ปรากฏเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น เขาเองก็เป็นเจ้าหน้าที่งบประมาณก็ต้องเจอกับหน่วยงานกลางเหล่านั้น ถ้าเขาจะร้องเรียนก็ทำได้เลยในตอนนั้น

แต่เขาก็มาร้องตอนนี้ ไม่ได้ให้ตอนนั้น และตัวเขาเองก็เซ็นต์เอกสารในการเบิกเบี้ยเลี้ยงด้วย ที่เขาให้ข้อมูลกับสื่อว่าโดนบังคับ แต่ระหว่างที่ กรมจเรทหารบก และ สตน.เขาก็สามารถร้องได้ตลอดตั้งแต่ปี 2560 ด้วย “ โฆษก ทบ.กล่าว

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ 4 ในเรื่องการที่ส.อ.ณรงค์ชัย แจ้งว่ามีการข่มขู่ถือเป็นคดีอาญา ที่ควรไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม
การที่ ส.อ.ณรงค์ชัย ผู้ร้องอ้างว่าถูกข่มขู่ รู้สึกไม่ปลอดภัยนั้น ตนเข้าใจความรู้สึกของ ส.อ.ณรงค์ชัย ที่อาจมีความวิตกกังวลและเครียดกับเหตุการ์ที่เกิดขึ้น จนทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม หากมีหลักฐานองค์ประกอบหรือถูกกระทำก็สามารถใช้ช่องทางการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองปกติได้ น่าจะเหมาสมที่สุด

กองทัพบกพร้อมให้ความร่วมมือในทางคดีตามความเป็นจริง ทั้งนี้ เรื่องการข่มขู่คุกคามจะเอาชีวิตนั้น เป็นเรื่องคดีอาญาทั่วไป ซึ่ง ส.อ.ณรงค์ชัย ควรจะใช้กระบวนการทางกฎหมาย โดยไปแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน

ซึ่ง กองทัพบกพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ กับพนักงานสอบสวนในทางคดีตามความเป็นจริง รวมถึงหากพนักงานสอบสวนร้องขอให้มีการคุ้มครองพยาน ตามขั้นตอนของกฎหมาย”พ.อ.วินธัย กล่าว

ส่วนกรณีคลิป ที่ส.อ.ณรงค์ชัย นั่งในห้องผู้บังคับบัญชา นั้น ฝ่ายสำนักงานนายทหารพระธรรมนูญ (สธน.) ได้พิจารณาแล้ว เป็นการอบรม และขอขมากัน ในประเด็นผิดวินัยระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย เมื่อ ก.ย.62 และ ในบทสนทนาไม่ใช่เรื่องคดีเรื่องการทุจริตแต่อย่างใดรวมถึงไม่มีลักษณะการขู่อาฆาตแต่อย่างใด

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 5. คือทางผบ.ทบ. ไม่ได้มีการสั่งการให้มีการดำเนินคดีต่อ
ส.อ.ณรงค์ชัย แต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการตามสายการบังคับบัญชา ของหน่วยต้นสังกัดเท่านั้น ส่วนที่บางบุคคลเข้าใจว่า ผบ.ทบ. ทราบเรื่องข่าวการทุจริตแล้ว ยังสั่งให้มีการดำเนินคดีกับ ส.อ.ณรงค์ชัย ฐานหนีราชการ

ทั้งที่ ส.อ.ณรงค์ชัย เป็นคนนำเรื่องมาเปิดเผยให้กองทัพบกนั้น ความเข้าใจดังกล่าวอาจอยู่บนพื้นฐานของการมีข้อมูลไม่ครบถ้วน ในข้อเท็จจริง ผบ.ทบ. ไม่ได้มีการสั่งการเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อกำลังพลดังกล่าว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการดำเนินการตามสายการบังคับบัญชาของหน่วยต้นสังกัด

“การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ยังคงเป็นเรื่องที่ดีทั้งต่อกองทัพบกและสังคมไทย เหมือนกับกำลังพลอีกจำนวนหลายร้อยคน

เช่น ผู้ที่ให้ข้อมูลมายัง ผบ.ทบ. ผ่านสายตรง ผบ.ทบ.หรือให้ข้อมูลมายังหน่วยงานที่มีหน้าที่ของ ทบ. เพื่อให้ ทบ. ดำเนินการแก้ไขให้ทุกเรื่องราวเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม”โฆษกทบ. กล่าว

ด้าน พล.ต.บุรินทร์ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบประเด็นการทุจริตภายในศูนย์ซ่อมสร้าง กรมสรรพาวุธทหารบก กล่าวว่า เรื่องทุจริตที่ ส.อ.ณรงค์ชัย ร้องเรียน ไม่มีการแจ้งมาที่สายตรง ผบ.ทบ. แต่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) สั่งตั้งกรรมการสอบเพิ่มเติมเอง

ซึ่งผลสอบพบว่าเป็นความจริง ตามที่ส.อ.ณรงค์ชัย ให้ข้อมูล คือ การเบิกเงินเบี้ยเลี้ยงเดินทาง 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2560-2562 รวมกว่า 1 แสนบาท และการจัดอบรมยาเสพติด แล้วไม่ได้ดำเนินการจริง 2 ครั้ง มูลค่ากว่า 1 แสนบาท โดยมีผู้เกี่ยวข้องระดับนายพล 3 นาย ซึ่ง ทางผบ.ทบ. ได้สั่งให้ส่งต่อ ป.ป.ช. พิจารณาต่อไป โดยโทษส่วนใหญ่เป็นคดีอาญา ส่วนวินัยทหารขอรอผลสอบจาก ป.ป.ช. ก่อน

_____________________________________________

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน