เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551

คดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

ในวันนี้ศาลนัดไต่พยานนัดสุดท้ายวันนี้ จำนวน 5 ปาก และหลังไต่สวนพยานแล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเลยที่ 1 จะขอแถลงปิดคดีด้วยตนเอง เพื่อชี้แจงสรุปคดีทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันสุดท้ายของการไต่สวน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการพิจารณาคดีในวันนี้ อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วมจำนวนหนึ่ง เดินทางมาร่วมรับฟังการไต่สวนพยานด้วย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด

สำหรับคดีนี้ องค์คณะผู้พิพากษาของศาล ได้ประทับรับฟ้องคดี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 และได้เริ่มไต่สวนพยานนัดแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559

อย่างไรก็ตามในวันนี้ จำเลยทุกคนเดินทางมาศาล ยกเว้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จำเลยที่ 2 ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยให้เหตุผลมีอาการป่วยและมีทนายความมารับฟังการไต่สวนแทน

หลังการไต่สวนพยานเสร็จสิ้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจาต่อศาล โดยย้ำว่าตนเองไม่ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่ถูกกล่าวหา และไม่เคยคิดร้ายหรือเลือกปฏิบัติ พร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและยืนยันว่าไม่มีคำสั่งใดที่ละเมิดต่อกฎหมายและสั่งให้สลายการชุม

นายสมชาย ยังเเถลงถึงเหตุการณ์ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2551 ว่าได้เรียกประชุม ครม. เพื่อประเมินสถานการณ์ในการเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามขั้นตอนเนื่องจากประธานรัฐสภาระบุว่าไม่สามารถเลื่อนวันหรือเปลี่ยนสถานที่แถลงนโยบายได้ เนื่องจากขัดข้อบังคับรัฐสภา

ซึ่งหลังจากการเเถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยเเละกำลังเดินทางออกจากสภา ได้มีกลุ่มผู้ชุมมาปิดทางเข้าออกไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ดูเเลรักษาความสงบเรียบร้อยได้เเจ้งว่าจะมีการเจรจาเพื่อขอเปิดทาง เเต่หากไม่เป็นผลอาจจะต้องมีการใช้เเก๊สน้ำตาเพื่อเปิดทาง ซึ่งตนกล่าวห้ามใช้แก๊สน้ำตา เเละย้ำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาควบคุมสถานการณ์อย่างละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย เเละเหตุการลุกลามบานปลาย เเละสุดท้ายตนเดินทางออกจากรัฐสภาโดยวิธีการปีนกำเเพงฝั่งพระที่นั่งวิมานเมฆ เเละขออนุญาตใช้เฮลิคอปเตอร์มารับ โดยที่ไม่ได้ฝ่าผู้ชุมนุมออกไป ทั้งนี้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้นไม่ได้รับรายงานเรื่องการใช้เเก๊สน้ำตาปะทะกับผู้ชุมนุม เนื่องจากการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของตำรวจ

นายสมชายชี้แจงถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมว่า ในช่วงเกิดสถานการณ์ตนเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้สั่งการใดๆ ทั้งสิ้น และหลังแถลงนโยบายเสร็จได้เดินทางไปกองบัญชาการกองทัพไทย ที่ผ่านมาทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับราชการมาหลายปี เป็นทั้งตุลาการ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ไม่เคยมุ่งร้ายต่อฝ่ายใด มีแต่ทำงานด้วยความประนีประนอม ซึ่งเกิดเหตุการณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ต้องดูแลประชาชนทุกคนไม่คิดทำร้ายคนไทยด้วยกัน

ทั้งนี้หลังจากนายสมชายเเถลงปิดคดีด้วยวาจาเสร็จเเละส่งคำเเถลงปิดคดีด้วยลายลักษณ์อักษรเเล้ว

ศาลนัดให้คู่ความทั้งสองฝ่ายส่งคำเเถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม หากไม่ส่งคำเเถลงภายในวันดังกล่าวให้ถือไม่ติดใจเเละนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหาคมนี้ เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับจำเลยที่ 2 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ให้มาฟังคำพิพากษาตามนัด ทั้งนี้การที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาเกิน 7 วัน เนื่องจากคดีมีพยานและเอกสารจำนวนมากที่ต้องพิจารณา

หลังการไต่สวนแล้วเสร็จ นายสมชาย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การต่อสู้ตามขั้นตอนปกติ เพราะเชื่อมั่นว่าตนไม่ผิด ส่วนการสืบพยานดำเนินไปอย่างเรียบร้อย เพราะทีมกฎหมายทำงานเต็มที่ ท้ายสุดการวินิจฉัยเป็นอำนาจของศาล อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากระบวนการดำเนินไปตามปกติ ไม่มีวิธีใดแตกต่างจากคดีอื่นเป็นพิเศษ ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายตนแสดงความบริสุทธิ์ตามพยานหลักฐาน และเชื่อมั่นในคำตัดสินของศาล ที่นัดพิพากษาในวันที่ 2 สิงหาคมนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน