‘ตู่ นปช.’ คารวะ “ตั้ว ศรัณยู” แม้ต่างกันสุดขั้ว เคยฟาดฟันทางการเมือง ชี้ ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองจนวาระสุดท้าย ขอพื้นที่แห่งความเป็นคน

เมื่อ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีนายวันเฉลิมถูกอุ้มหาย และนายศรัณยูเสียชีวิต โดยระบุว่า ความแตกต่างคือความงดงามนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญของหลักการ ประชาธิปไตย แต่บางกติกาความแตกต่างถือเป็นศัตรูต้องกำจัดกัน

อย่างไรก็ตาม หลายวันที่ผ่านมา ตนไม่กล่าวถึงนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ต้าร์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยที่ถูกอุ้มหายตัวไปจากที่พักในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพราะด้วยความระมัดระวัง แต่ติดตามข่าวสาร รู้เรื่องราวการแสดงความคิดเห็นทั้งในและนอกสภา

หลายคนตั้งคำถามกับตนว่า ทำไมไม่พูดเรื่องนี้เลย ตนบอกว่ายังมีพี่น้องหลายคนกำลังหลบหนีคดีพัทยาอยู่ ตนไม่แน่ใจชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้นว่า ถ้าตนพูดอะไรไปจะกระทบกระเทือนต่อชีวิตเขาอย่างไร จึงต้องมีความระมัดระวัง

ตนพยายามบอกกล่าวว่า เมื่อเคลียร์เรื่องส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว ควรเข้ามาอยู่ในเรือนจำกันเสีย เพราะสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านมานั้น เราอยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่ตายก็ติดคุก ซึ่งจะตายด้วยสังขาร ตายจากถูกฆ่า หรือรูปแบบอื่นๆก็ตาม

ด้วยความสัตย์จริงแล้ว โดยส่วนตัวไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าตาร์หรือนายวันเฉลิมมาก่อน แต่ในฐานะคนไทยด้วยกัน อีกทั้งตนได้แสดงจุดยืนทางการเมืองมาตลอดว่า การแสดงความเห็นแตกต่างทางการเมือง ไม่ควรมีใครต้องมาจบชีวิตลง

เมื่อเกิดเหตุการณ์นายวันเฉลิม และในช่วงที่รอทางการกัมพูชาแถลงรายละเอียดต่างๆ พร้อมกับความห่วงใยหมู่มิตรหลายคนที่ยังไม่เข้ามาเรือนจำ และอยู่ระหว่างหลบหนีภัยกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง เพราะเราไม่รู้ชะตากรรมว่าเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

สิ่งนี้จึงเป็นอีกสถานการณ์ที่ต้องการบอกว่า ทำไมไม่ได้แสดงความคิดเห็นกันในเรื่องของนายวันเฉลิม เพราะยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และไม่ต้องการให้มีใครจบลงด้วยสภาพแบบนี้ นั่นเป็นท่วงทำนองคนที่ยืนอยู่หัวแถว เมื่อยิ่งนานวัน มีตัวประกันมากขึ้น พื้นที่ตัวเองยิ่งแคบลงตามลำดับ ซึ่งเป็นสัจธรรม และความเป็นจริงมีอยู่เท่านี้

สำหรับกรณีการเสียชีวิตของนายศรัณยู วงษ์กระจ่าง นั้น คนทุกแวดวงการ และผู้มีความคิดเห็นแตกต่างกันต่างร่วมไว้อาลัย ซึ่งเป็นสัจธรรมชีวิตย่อมหนีจุดนี้ไปไม่พ้นแม้รายเดียว

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเริ่มต้นทางการเมือง ตนรู้จักนายศรัณยูในฐานะดารา แต่ได้ยินอีกครั้งชื่อเขาอยู่ในชุดแรกๆในการก่อตั้งและเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นได้แยกตัวออกไป แล้วร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยาวนาน ไม่ว่าพันธมิตรฯ มีขาขึ้นขาลงอย่างไร แต่นายศรัณยู ยังดำรงตนอยู่เหมือนเดิม

“ผมเชื่อว่า เขาสู้ด้วยความสุจริตใจ บนความเชื่อที่แตกต่างกัน ในบรรดานักรบต่อสู้ ไม่ว่าฝ่ายเดียวกันหรือคนละฝ่าย เรามักเคารพหัวใจกันอยู่เสมอ แม้ต้องทำหน้าที่ฟาดฟันต่อสู้กันมาก็ตาม ผมเชื่อด้วยสุจริตใจว่า นายศรัณยูสู้ด้วยความเชื่อของเขา เป็นเสรีภาพ เป็นสิทธิ ซึ่งต้องเคารพกันไม่มีปัญหาอะไร เพราะทั้งหมดในการต่อสู้ไม่มีใครมีเรื่องเป็นการส่วนตัว ทั้งหมดเป็นความเชื่อทางการเมือง”

รวมทั้ง ตนมักพูดว่า เราจะมีพื้นที่ความเป็นมนุษย์อยู่เสมอ แม้มีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่การต่อสู้เป็นหน้าที่และความเคารพการจากไปของแต่ละฝ่าย จึงเป็นความงดงามอย่างหนึ่งของคนที่ได้ร่วมต่อสู้ แม้ยืนคนละข้าง แต่ยอมเคารพหัวใจกันได้

“นายศรัณยู จากไปด้วยวัยที่ควรได้ทำงานตามหัวใจปรารถนากันอีกยาวนาน แต่ทุกคนหนีการเกิดแก่เจ็บตายไปไม่พ้น ขอแสดงความเสียใจด้วยใจจริง”

นายจตุพร กล่าวว่า ในมุมมองของผมนั้นพยายามเสนอว่า ในแต่ละเรื่องราวสมควรจะแก้ไขปัญหากันอย่างไร และหลายเรื่องนั้นอะไรที่สร้างความทุกข์ กระทบกระเทือนให้ประเทศมาก ทุกฝ่ายควรระมัดระวังกัน ตนย้ำเสมอว่า เรื่องง่ายที่สุดคือ การทะเลาะ ฟาดฟันกัน แต่ยากที่สุดคือการร่วมคิดนำพาประเทศ เพราะอยู่ในสถานการณ์ประเทศเป็นแบบนี้นั้น เราต้องประคับประคองบ้านเมืองกันเป็นหลัก

“แม้ในทางการเมืองมีหลายเรื่องอยากวิพากษ์วิจารณ์ อยากฟาดฟันกันเหมือนเดิม แต่เพียงให้เราเดินหาทางออกประเทศชาติให้สุดทางเสียก่อน เมื่อสุดทางแล้ว ถ้าไปกันไม่ได้ ก็ต้องรบกันตามปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด” นายจตุพร กล่าว


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน