ต้านกระแสสังคมไม่ไหว!”สุพจน์ ทรัพย์ล้อม”ลาออกแล้ว”สมศักดิ์”ลั่นเป็นรมต.14ครั้งโดนตราหน้า

วันที่ 25 มิ.ย. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดเวทีเสวนาเปิดรับฟังความคิดเห็นการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ โดยได้ส่งหนังสือเชิญ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น นายวินรวีร์ ใหญ่เสมอ หรือต๊ะ บอยสเก๊าท์ นายนัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อมาให้คำแนะนำว่าควรจะดำเนินการอย่างไร พร้อมทั้งจะชี้แจงข้อสงสัยในการแต่งตั้ง นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งเคยต้องโทษในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน มาเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษารูปแบบและแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ด้วย

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกสังคมตั้งคำถาม ยืนยันว่า การตั้งนายสุพจน์ มีเหตุผลเช่นเดียวกับที่ปรึกษาคนอื่นๆ ขอขอบคุณทุกคนที่มาแสดงความคิดเห็น ซึ่งการพูดคุยไม่ว่าผลจะออกมาทางไหน ตนยินดีน้อมรับฟังและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะสิ่งที่ตนตั้งใจทำงานในกระทรวงยุติธรรม เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ยังขาด โดยยอมรับว่าตนไม่ใช่นักกฎหมายแต่ก็มีแนวทางการทำงาน มีบางคนบอกว่าผมทำการเมืองไม่มีอุดมการณ์อยากขอย้ำว่า ผมมีแนวทางคือ แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะมองเห็นความลำบากในพื้นที่ชนบท

 สุพจน์ลาออกแล้ว

ผมเป็นรัฐมนตรีมา 14 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำงานด้านสังคม โดนคนก็ตราหน้าว่า จะทำความเข้าใจได้หรือไม่ ผมจึงเป็นนักฟังที่ดี เพื่อต้องการความจริงและแก้ปัญหาให้ถูกจุด โดยขอย้ำว่า ยินดีรับฟังทุกข้อเสนอแนะ ส่วนการตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ยังเป็นเพียงขั้นตอนศึกษา ซึ่งยังไม่สร้าง ซึ่งการตั้งนายสุพจน์ เน้นย้ำว่าตั้งเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้สะท้อนประสบการณ์เป็นผู้ต้องขังเป็นหลัก เพราะจะรู้ใจผู้ต้องขัง ถ้าผมสร้างสวนสาธารณะ และเชิญนายสุพจน์ มาคงแย่ที่สุด แต่นี่เป็นการสร้าง เรือนจำ แต่ทั้งหมด ตนขอรับฟัง เพราะไม่อยากเกิดข้อขัดแย้ง ”

 สุพจน์ลาออกแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ได้แจ้งการลาออกโดยบอกว่าได้ยื่นเรื่องต่อตนตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งตนก็เห็นว่าเขาบอบช้ำ จึงไม่ได้มีการยับยั้งใดๆ จากนั้นได้อ่านหนังสือลาออกของนายสุพจน์ ที่เป็นลายมือเขียนว่า

“ตามที่คณะกรรมการและประธานได้มีคำสั่งที่ 1/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2563 แต่งตั้งเป็นคณะที่ปรึกษาชุดดังกล่าว เมื่อได้รับการทาบทามทางจากกระทรวงยุติธรรมผมเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ ประสบการณ์และความเข้าใจที่มีต่อผู้ต้องขังในเรือนจำมาถ่ายทอดให้โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ ผมจึงได้ตอบรับที่จะเข้าร่วม แต่ต่อมาผมได้รับทราบจากสื่อต่างๆว่ามีกระแสความไม่เห็นด้วย และเห็นว่าการที่ผมรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการชุดนี้มีความไม่เหมาะสมผมได้พิจารณาแล้วว่า เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งในสังคมและให้อนุกรรมการสามารถเริ่มปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทันที ผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมการโดยมีผลทันที ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2563 ”

 สุพจน์ลาออกแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกันกับ นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ได้ยื่นหนังสือแจ้งว่าขอลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ โดยอ้างถึงคำสั่งของคณะกรรมการราชทัณฑ์ที่ 1/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ว่าตามที่นะได้มีการแต่งตั้งตนเองนางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการเพื่อดังกล่าวนั้นข้าพเจ้า ขอกลับขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากข้าพเจ้ามีภารกิจบางประการที่รับผิดชอบและจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำทุกเดือนอาจจะมีผลกระทบทำให้การทุ่มเทเวลาเพื่อที่จะช่วยงานไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของท่าน

ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย (ACT) กล่าวว่า คดีทุจริต บางคดีใช้เวลานาน 10 กว่าปีกว่าที่ศาลจะมีคำตัดสินเป็นที่สิ้นสุด ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ต้องถูกโดนลงโทษ ยังสามารถเดินเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ ในขณะรายที่โดนลงโทษทางกฎหมายแต่ก็สามารถกลับมามีบทบาทในวงการเมืองและราชการได้ ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของ ประชาชนว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเมื่อพบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกกฎหมาย แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบัปัจจุบันที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ที่เพิ่มการรับรู้ของคนทั่วไปว่า

 สุพจน์ลาออกแล้ว

คนที่ทุจริตจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองยืนยันว่า ผมเห็นด้วยที่ต้องการให้ผู้ต้องขังได้กลับคืนสู่สังคมตามแนวทางที่กระทรวงยุติธรรมมีนโยบาย แต่การที่จะกลับเข้ามาสู่ระบบราชการการเมืองในขณะที่ มีความผิดคดีคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่ใช่คดี ฉกชิงวิ่งราว หรือคดีทั่วๆไปซึ่งคดีคอรัปชั่นถือเป็นคดีที่ทำลายชาติเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งการที่นายสุพจน์ได้เข้ามาสู่ในตำแหน่งคณะอนุกรรมการที่อยู่ในระบบการเมืองและราชการ ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าคนนี้มีอำนาจ วาสนา บารมีซึ่งจะเป็นช่องว่างหากพูดหรือแสดงอิทธิฤทธิ์อะไร เราก็ต้องระวังตัวซึ่งสิ่งเหล่านี้หน่วยราชการต้องตระหนัก

ดร.มานะ กล่าวอีกว่า คนที่พ้นโทษแล้วจะไปเที่ยววัดหรือทำมาค้าขายกับหน่วยงานราชการสามารถทำได้ แต่การเข้ามามีบทบาทในวงการเมืองหรือราชการต้องควรจะระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้ ไม่เป็นต้นแบบของสังคมในการประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้องและข้าราชการชั้นผู้น้อยจะเกิดความเข้าใจผิด ต่อบรรทัดฐานการประพฤติปฏิบัติทั้งที ทั้งที่ มีเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเขียนว่าอย่างชัดเจน ป้องกันเรื่องการคอรัปชั่นของข้าราชการและนักการเมือง

อ่าน พิพากษายืนคุก “ปลัดสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปกปิดบัญชี ห้ามเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5ปี!

อ่าน ป.ป.ช. ฟันคดีที่ 3 อดีตปลัดสุพจน์ เรียกรับรถโฟล์คสวาเกน คันละ 3 ล้าน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน