เมื่อ 26 มิ.ย. หลังศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยพิพากษาให้มีความผิดตามศาลอุทธรณ์ และให้จำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4-7 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน พร้อมระบุเหตุผลว่า การกลับคำให้การเป็นรับสารภาพนั้นต้องทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะต้องกระทำในศาลชั้นต้น ไม่ใช่ในชั้นฎีกา

จากคำพิพากษาดังกล่าว ส่งผลให้จำเลยทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นพรุจ, วีระกานต์, ณัฐวุฒิ, วิภูแถลง และ นพ.เหวง ถูกนำตัวส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันที และถือว่าคดีถึงที่สุด ปิดฉากการต่อสู้คดีนี้ที่ยาวนานกว่า 10 ปี

สำหรับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลอาญาอ่านคำพิพากษาฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า ตนและคณะ ได้พูดเป็นสัจธรรมแก่ชีวิตมาตั้งแต่ต้นว่า บนหนทางการต่อสู้ของพวกเรานั้นไม่ตายก็ติดคุก วันนี้พี่น้องเราทุกคน ที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาจำคุกนั้น ทุกคนก็น้อมรับคำตัดสิน ส่วนตนและทุกคนที่เหลือจะอยู่ในสำนวนที่ 2 ซึ่งแตกต่างกันเพียงเรื่องวันเวลาเท่านั้น

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีนี้เราเข้าออกคุกสลับกันเสมอ ดังนั้นหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าในช่วงกว่า 10 ปีนี้ คนที่ผ่านเรื่องราวกันมา จะมีพื้นที่เหลือน้อยมาก และก็จะน้อยลงตามลำดับ แต่สิ่งที่ตนเพียรพยายามจะบอกสังคมนี้คือ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง พันธมิตร หรือ กปปส.ก็ตาม อยู่บนวิถีทางที่ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ฝ่ายคนเสื้อแดงจะติดคุกกันมาก แต่ทุกฝ่ายก็จะอยู่บนวิถีทางนี้

จากคำวินิจฉัยแล้วตนคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ดังนั้นที่แตกต่างกันมีอย่างเดียวคือ ตนพอจะมีเวลาเหลืออยู่บ้างก็จะต้องไปจัดการกับชีวิตทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม ยืนยันพวกตนพร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาลโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดคุยกันมาเพราะ 10 กว่าปีมานี้มีเรื่องกันค่อนข้างมาก และทุกฝ่ายที่ร่วมต่อสู้กันมากว่า 10 ปีนี้ก็อยู่ในห้วงของความทุกข์กันทั้งสิ้น

ส่วนที่จะมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้น จุดยืนของ นปช.อยู่ตรงไหนนั้นส่วนตัวมองว่า สถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันนี้ อยู่ในสภาพที่ยากลำบากโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจหนักที่สุด ดังนั้นวันนี้ควรจะ เอาชาติบ้านเมืองและประชาชนไว้ มากกว่าที่ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เหล่านี้ตนได้ก้าวข้ามไปแล้วว่า จะมีหรือไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะความทุกข์ของประเทศที่รออยู่ข้างหน้าเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การต่อสู้มาในรอบ 10 กว่าปีนี้แกนนำของแต่ละฝ่ายไม่มีปัญหาในเรื่องส่วนตัวกัน และหวังว่า ในช่วงชะตากรรมแบบนี้ และวิกฤติของประเทศเชื่อว่าทุกฝ่าย จะร่วมกันช่วยแก้ปัญหาวิกฤติชาติ

อีกทั้ง ยังเชื่ออีกว่า ประเทศไทยต่อไปนี้มาถึงยุคที่ไทยเป็นที่พึ่งแห่งไทย หรือ อัตตาหิอัตโนนาโถ เราอย่าหวังรายได้จากการท่องเที่ยว แค่เครื่องบินที่จอดทิ้ง 3-4 เดือนให้บินได้ ค่าใช้จ่ายก็เป็นจำนวนมาก ขณะที่การท่องเที่ยวทุกที่ก็ พังพินาศ ดังนั้น ตนเชื่อว่าความอดอยากกำลังมาเยือนอย่างที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเจอ


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน