นายกสมาคมทนายความ เผย นักเรียนชู 3นิ้ว ต้านเผด็จการเป็นสิทธิตาม รธน.บัญญัติให้อำนาจอธิปไตยเป็นของชาวไทย การคุกคามเด็กจะนำไปสู่จุดวิกฤต

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กสมาคมทนายความเเห่งประเทศไทย ถึงประเด็นการชูสามนิ้วและผูกโบว์สีขาวระหว่างเคารพธงชาติ เพื่อแสดงการต่อต้านเผด็จการของเด็กนักเรียน นักศึกษาและประชาชนว่า

การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์เพื่อประชาธิปไตย อันเป็นสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ทุกประการ ปรากฏดังนี้

มาตรา 4 บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

มาตรา 5 บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
มาตรา 25 บัญญัติว่า สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้ และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้น ไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น

มาตรา 34 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน

จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดได้บัญญัติให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองมารับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าทางกายภาพหรือทางอื่นใดไว้อย่างชัดเจน

นอกเหนือจากนั้น หากการใช้สิทธิและเสรีภาพนั้นไม่กระทบกระเทือนต่อรัฐและความสงบเรียบร้อย และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นแล้ว ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีกฎหมายอื่นระบุให้การกระทำเหล่านั้น เป็นความผิดแต่อย่างใด

ฉะนั้นการข่มขู่หรือการคุกคามเด็กนักเรียน นักศึกษา และการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสกัดหรือกำจัดประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างในระบอบประชาธิปไตยนั้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะกลับกลายเป็นการเพิ่มปัญหาและสร้างความแตกแยกในสังคมไทย อันจะนำไปสู่จุดวิกฤตและยากที่จะแก้ไขได้


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน