‘ทวี สอดส่อง’ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหา “เงินผ่านบัตรสวัสดิการ” ให้โปร่งใส ถูกต้องตามเกณฑ์ พร้อมยกระดับให้ประชาชนทุกคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ได้รับเงินบำนาญเสมอภาคกัน

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กจี้รัฐบาลให้เร่งแก้ไขเงินสวัสดิการแห่งรัฐ โดยระบุว่า “เงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ฯ ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง!!

ปีงบประมาณ 2564 “กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม” ได้ของบประมาณและรัฐสภาเห็นชอบจำนวน 49,500 ล้านบาทเศษ ได้นำไปจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) เพื่อสนับสนุนเงินค่าครองชีพ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายเดินทาง และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีบัตรฯ ปรากฏว่าผู้สอบบัญชี สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ได้ตรวจสอบและรายงานงบการเงินโครงการประชารัฐสวัสดิการ แสดงความเห็นในรายงานของผู้สอบบัญชีไว้ แบบ “ไม่แสดงความเห็น”

ที่ตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐถือว่างบการเงินโครงการประชารัฐสวัสดิการ “ไม่ถูกต้อง” ซึ่งถือว่าไม่ปกติ

โดยหลักการรายงานของผู้สอบบัญชี จะแสดงความเห็นเป็น 4 แบบ คือ

1. แบบไม่มีเงื่อนไข

2. แบบมีเงื่อนไข

3. ไม่ถูกต้อง

4. ไม่แสดงความเห็น

รายงานที่แสดงความเห็นทั้ง 4 แบบ ที่แบบถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ ต้องเป็น “แบบไม่มีเงื่อนไข” เท่านั้น ส่วนอย่างอื่นถือว่าไม่ถูกต้อง (รายงานล่าสุด คือ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562) โดยผู้สอบบัญชีระบุรายการ ที่มีสาระสำคัญหลายรายการ ที่ผู้สอบบัญชีไม่สามารถแสดงความเห็นต่อรายงานการเงินของกองทุนฯ ได้

อาทิ “ค่าใช้จ่ายจากการอุดหนุนจำนวน 93,155 ล้านบาทเศษ เป็นค่าใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามโครงการประชารัฐสวัสดิการ ซึ่งผู้สอบบัญชีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผ่านหลักเกณฑ์และมีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และฐานข้อมูลการใช้สิทธิในการจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในระหว่างปีงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบความมีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริงของค่าใช้จ่ายจำนวนดังกล่าวได้ และผู้สอบบัญชีไม่สามารถใช้วิธีตรวจสอบอื่นให้ได้มาซึ่งหลักฐานที่เหมาะสมอย่างเพียงพอได้”

ปัจจุบันผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีจำนวน 14.6 ล้านบัตรฯ ผู้สอบบัญชี สตง. ไม่สามารถตรวจความถูกต้องของผู้ถือบัตรฯ และคุณสมบัติว่าเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ ผู้บริหารฯ กองทุนไม่ให้ข้อมูล โดยอ้างว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทั้งที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดเรื่องการใช้จ่ายเงินแผ่นดินไว้ จึงเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นเกี่ยวกับ “งบการเงิน” ถือว่ามีความสำคัญมากเปรียบเสมือน “กระจกบานใหญ่” ที่สะท้อนให้เห็นถึงฐานะการเงิน ผลดำเนินการของหน่วยรับงบประมาณ และผู้บริหารว่ามีความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ให้เบาะแสการกระทำไม่ชอบหรือความผิดปกติ เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น และยังเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญของหน่วยรับงบประมาณที่บอกเรื่องราวของรายรับ รายจ่ายและการดำเนินการต่างๆ ผ่านงบการเงินหลายอย่าง

เมื่อผู้สอบบัญชีพบว่ามีการปฏิบัติไม่ถูกต้องของหน่วยรับงบประมาณ ก็จะมีการเปิดเผยสาเหตุและแสดงความเห็นในรายงานผลการตรวจสอบของงบการเงิน ไม่แสดงความเห็น หรือไม่ถูกต้อง หรือแสดงความเห็นแบบมีเงื่อนไข แล้วแต่กรณีไป หากมีการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐถูกต้องงบการเงินดังกล่าวสำนักตรวจเงินแผ่นดิน จะรายงานผลการตรวจสอบ “แสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข”

ในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน พบว่า สตง. ได้ตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่และรายงานการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการประชารัฐสวัสดิการ ออกเผยแพร่ (เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2563) มีประเด็นข้อตรวจพบความบกพร่องที่สำคัญ จำนวน 4 ประเด็น คือ

1. การลงทะเบียนยังไม่รัดกุมเหมาะสม

2. มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

3. สวัสดิการที่ช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางรายการยังไม่เกิดประโยชน์สำหรับกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

และ4.ยังไม่บรรลุผลสำเร็จในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย ประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่มีฐานะยากจนที่ควรเป็นกลุ่มเป้าหมายเสียโอกาส เกิดความคลาดเคลื่อนบิดเบือนกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง หรือมีความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันของข้อมูล

‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ หรือที่สังคมเรียกว่า ‘บัตรคนจน’ มีกระแสในสังคมว่าทำให้เกิดการแบ่งคนในสังคมด้วยฐานะการเงิน ความรวยกับความจน โดยรัฐบาลเป็นผู้ทำขึ้น เป็นการด้อยค่า ด้อยศักดิ์ศรี การตอกย้ำความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน และยังปรากฎว่าการจัดซื้อจัดจ้างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีราคาสูงเกินควรเมื่อเปรียบเทียบกับบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่น

กล่าวคือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบ่งเป็น 2 แบบได้แก่ แบบแรกเป็นบัตรแบบ Contact Chip เป็นบัตรที่สำหรับใช้กับพื้นที่ต่างจังหวัด (รวม 70 จังหวัด) การจัดซื้อจัดจ้างราคาบัตรละ 50 บาท และแบบที่สอง บัตรแบบ Contactless Chip สำหรับผู้มีสิทธิ ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร การจัดซื้อจัดจ้างราคาบัตรละ 70 บาท

ขณะที่ค่าบัตรประชาชนจัดซื้อจัดจ้างในราคาประมาณบัตรละ 35 บาท แยกเป็นตัวบัตรและ Chip ประมาณ 19 บาท กับค่าวัสดุพิมพ์รูป ขอบสีและอุปกรณ์ป้องกันการปลอมแปลงประมาณ 16 บาท ส่วนในกรณีบัตรประกันสุขภาพได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ปัจจุบันใช้บัตรประชาชนแทน เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

ตามรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 140 ได้บัญญัติถึง การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 68 กำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ทำตามมาตรฐานบัญชีที่กระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนด และมาตรา 70 กำหนดว่าให้ส่งสิ้นปีงบประมาณและให้ทำรายงานการเงินส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบภายใน 90 วัน และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน งบการเงินที่ไม่ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐถือว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

ส่วนตัวเห็นด้วยกับการจัดงบประมาณเป็นสวัสดิการให้ประชาชนเจ้าของเงินภาษี เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และดูแลคุณภาพชีวิต แต่ต้องดำเนินการให้โปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย ปัญหางบการเงินไม่ถูกต้องมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และผลการตรวจสอบที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล ต้องแก้ไขให้ถูกต้องเกิดโปร่งใส และยุติธรรม

กรณี สวัสดิการแห่งรัฐ ขณะนี้ มีร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ที่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 10,000 คนร่วมลงชื่อร่างกฎหมาย “พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ” เพื่อยกระดับให้ประชาชนทุกคนเมื่ออายุถึง 60 ปี จะมีสิทธิได้รับบำนาญแห่งชาติอย่างเสมอภาคกัน

แต่เนื่องจากเป็นร่าง พ.ร.บ. เกี่ยวด้วยการเงิน ขณะนี้อยู่ในชั้นขอคำรับรองของนายกรัฐมนตรี ก่อน และมีร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนพรรคประชาชาติกับคณะ ที่เสนอสภาผู้แทนและอยู่ในระหว่างรับฟังความคิดเห็น ที่มีหลักการของร่างทั้ง 2 ฉบับเหมือนกัน ให้บำนาญผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปี) ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน (ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน) แบบเสมอหน้ากันโดยเห็นว่า ‘สวัสดิการ’เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ควรเป็น “สิทธิที่เสมอกัน” บำนาญเป็น “สิทธิ” อันพึงมีของประชาชน มิใช่เพียงแค่ “หน้าที่” ของรัฐในการสงเคราะห์คนอนาถา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน