ประธาน นปช. หนุน 3 ข้อ ม็อบปลดแอก จี้ ไพบูลย์ ถอนคำพูด ไม่งั้นนรกมาเยือน

วันที่ 4 ต.ค.2563 ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. จัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 54 ปี โดยเปิดโอกาสให้มวลชนเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายจตุพร กล่าวถึงกรณีสถานการณ์การชุมนุม ของกลุ่มประขาชนปลดแอกและธรรมศาสตร์และการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ว่า ถือเป็นการนัดการชุมนุมกันครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ 7 วัน 7 คืน ตนยังคงยืนยันในสิทธิและเสรีภาพ สามารถชุมนุมได้อย่างสงบปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ และตนเคารพการตัดสินใจของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาร่วมในการชุมนุม และตนยังขอยืนยันสนุบสนุนแนวคิด 3 ข้อ คือ หยุดคุกคามประชาชน ให้นายกรัฐมนตรีลาออก และยุบสภา

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

แต่นอกเหนือจากนี้ตนไม่เห็นด้วย พร้อมกับมองว่าหากข้อเรียกร้องจุดยืนทั้ง 3 ข้อถูกจำกัดไว้ จะเกิดชัยชนะต่อผู้ชุมนุม และตนจะขอติดตามสถาการณ์อย่างใกล้ชิด และหวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรง ในการปราบปรามประชาชน และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะต้องแก้ไขปัญหาด้วยหลักสันติวิธี ซึ่งการใช้หลักนิติศาสตร์นำหลักรัฐศาสตร์สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศได้แม้แต่กรณีเดียว

นายจตุพร ได้กล่าวฝากไปถึงรัฐบาลว่า การยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอีก 1 เดือนนั้น จะทำให้รัฐบาลอายุสั้นลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน กลับทำลายความน่าเชื่อถือของภาวะผู้นำประเทศ พร้อมกับเรียกร้องความจริงใจให้เปิดสมัยประชุมสภาวิสามัญก่อนวันที่ 14 ต.ค. เพื่อลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1

ซึ่งหากยังยื้อเวลาไว้ ตนมองว่ารัฐบาลประเมินประชาชนต่ำเกินไป เพราะขณะนี้ประชาชนอยู่ในยุคที่ลำบากมากที่สุด และบังเอิญว่าการชุมนุมเป็นเรื่องที่มากลบความเดินร้อนและหิวโหยของประชาชน แม้ว่าจะมีการแจกเงินไปบ้างแต่ความหิวโหยนั้นอยู่เหนือกว่าการแจกเงิน ที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงของผู้นำมีการสลับกันระหว่างผู้มีอำนาจกับผู้มีอำนาจทางเงินมาโดยตลอด ทำให้ประเทศเกิดความล้าหลัง

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในวันนี้รัฐบาลไม่ว่าจะนำใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของประเทศ เพราะนายกรัฐมนตรียังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เมื่อคนไม่เป็นงานเศรษฐกิจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และการปล่อยระยะเวลาให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกนะทรวงการคลังว่างเว้นถึง 2 ครั้ง เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหาย วันนี้นายกรัฐมนตรีควรใช้กลไกรัฐทุกอย่าง การอยู่ต่อยิ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อนให้กับประชาชน

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาระบุว่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเท่าหยิบมือ ว่า หากยังไม่แก้ไขคำพูดนี้นรกจะมาเยือนในวันที่ 14 ต.ค. วันหนึ่งหากประชาชนที่อดอยากทนไม่ได้และลุกฮือขึ้นมา คือสิ่งที่น่ากลัวของรัฐบาลที่แท้จริง ดังนั้นทีมเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่นี้ต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หากยังเป็นแบบนี้นายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาตนเอง ควรเสียสละเพื่อประเทศ เพราะประเทศเสียสละให้มามากพอแล้ว

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีรัฐบาลแห่งชาติ นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนั้นเป็นไปได้ยาก แต่มักหยิบยกมาพูดเมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาต่อระบบรัฐสภา และรัฐบาล แต่สุดท้ายรัฐบาลไม่เกิดขึ้น แต่มักจบลงด้วยการรัฐประหาร จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลแห่งชาตินั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะเมื่อมีการยกขึ้นมาคนต่างไม่เห็นด้วยคนไทยมักปฏิเสธ และมักมีอัศวินมาขาวจบลงด้วยการรัฐประหาร รัฐบาลแห่งชาติจึงเกิดขึ้นไม่ได้

ทั้งนี้ นายจตุพร ยังได้กล่าวถึง ผู้นำเหล่าทัพที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นมานั้นประกาศจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงต้องติดตามสถานการณ์ครั้งนี้ เพราะทหารเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนถึงความจงรักภัคดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

เพียงแต่สถานการณ์ของประเทศไทยภายใต้ความลึกลับซับซ้อน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และประเด็นมหาอำนาจต้องการใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการดังกล่าวทั้งมั่นคงและเศรษฐกิจ ไทยแม้เป็นประเทศเล็กแต่เป็นจุดยุทธศาสตร์ หลายเรื่องจึงเกี่ยวพันธ์มากกว่าทุกครั้ง และประเทศไทยต้องคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบ และยอมรับว่ามีหลายเรื่องตนนั้นคาดไม่ถึง

เมื่อถามถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ที่นำการยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 กล่าวเปิดใจในวันคล้ายวันเกิดครบ 74 ปี ที่ผ่านมาสนับสนุนแนวทางการปรองดอง นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.สนธิ ได้สำนึกในสิ่งที่ตนกระทำการยึดอำนาจที่ผ่านมา และต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และรู้จักการให้อภัย ไม่ต้องการให้ประเทศมีความเกลียดชัง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้นำรัฐบาลในครั้งนี้ ว่าจะมีจิตใจเหมือนพลเอกสนธิหรือไม่ และตนเห็นถึงความพยายามให้ประเทศนับหนึ่งใหม่อยู่หลายครั้ง ถ้าผู้นำไม่รู้จักให้อภัยก็ต้องอยู่กับความเกลียดชัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน