‘ชวน’ เผยสถาบันพระปกเกล้าเสนอ 2 รูปแบบตั้งคณะกรรมการปรองดอง ดึง 3 อดีตนายกฯร่วม เชื่อหากผู้ชุมนุมร่วมวงด้วยจะเกิดประโยชน์มาก

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการหารือเพื่อออกแบบโครงสร้างและวิธีการทำงานของคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ กับ นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และผู้บริหารสถาบันฯทั้งหมด

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

โดยระบุว่า จากที่ให้ทางเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ไปศึกษารูปแบบองค์ประกอบของงานที่จะต้องทำในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยขอให้สถาบันฯ ติดตามงานจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ว่ารูปแบบที่เสนอมานั้นเป็นอย่างไร

ซึ่งทางเลขาฯก็เสนอรูปแบบการแก้ไขปัญหาเป็น 2 รูปแบบ โดยรูปแบบที่ 1 เป็นไปตามที่นายจุรินทร์เสนอคือ มีผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ รวม 7 ฝ่าย เช่น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนของวุฒิสภา และตัวแทนขององค์กรอื่น แต่ก็มีจุดอ่อน คือหากฝ่ายใดปฏิเสธไม่ร่วมองค์ประชุม ก็จะไม่ครบองค์ประชุม หรือการหารือพูดคุยกันไม่นานก็อาจจะล่มได้ หรืออาจจะเสร็จเร็วได้ รวมทั้งถ้ามองผิวเผินจะมีแค่ฝ่ายรัฐบาลกับวุฒิสภา ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ถือว่าน่ากังวล

ส่วนรูปแบบที่ 2 มีคนกลางที่มาจากการเสนอของฝ่ายต่างๆ หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้สรรหาหรือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่ากรรมการที่เราไปทาบทามจะรับหรือไม่ เพราะด้วยเป้าหมายของงาน เขาก็ต้องดูปัญหาที่เขาจะเข้ามาดูนั้นมันคือเรื่องอะไร

อย่างไรก็ตาม จะนำ 2 รูปแบบนี้ไปประสานกับฝ่ายต่างๆ หรือดึงรูปแบบที่ 1 กับ 2 มาประสานกัน ในเชิงของตัวบุคคล โดยอาจต้องไปถามตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ หรือคนนอกจะมาร่วมด้วยหรือไม่ เพราะต้องไปคัดคนให้ได้จำนวนไม่มาก แต่มีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหา ซึ่งในวันพรุ่งนี้เป็นไปได้ตนก็จะไปพูดคุยกับผู้นำฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเป็นการภายใน

นายชวน กล่าวอีกว่า ส่วนตัวประสานกับอดีตผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคน เช่น อดีตนายกรัฐมนตรี 3 คน อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็พร้อมจะร่วมด้วย ถ้ามีโอกาส ทั้งนี้ไม่อยากให้สื่อไปคิดว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่สำเร็จ ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่คนส่วนใหญ่ในประเทศอยากเห็นบ้านเมืองสงบ วิธีไหนทำให้บ้านเมืองสงบได้ เราก็จะพยายาม

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเป็นประธานคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า จะหารือกับอดีตนายกฯ และประธานสภา รวมถึงบุคคลต่างๆ เพื่อดูว่าจะมีใครสนใจในเรื่องนี้บ้าง และจะเชิญมาร่วม ซึ่งอดีตนายกฯ 3 คนที่ได้พูดคุยต่างก็ห่วงบ้านเมือง และพร้อมให้ความเห็น

เมื่อถามว่า เราจะเห็นคณะกรรมการฯชุดนี้เกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ นายชวน กล่าวว่า อย่าเพิ่งกำหนดเวลา เพราะต้องใช้เวลาในการประสานในแต่ละคน ซึ่งตนจะพยายามไปคุยส่วนตัว และหลายท่านก็ยังบอกว่า ไม่สะดวก ส่วนตัวแทนของผู้ชุมนุม ถ้าเข้าร่วมด้วยก็จะเป็นประโยชน์มาก จึงให้ทางเลขาฯสถาบันพระปกเกล้าไปประสาน ซึ่งไม่อยากให้สื่อตั้งเงื่อนไขว่าผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมหรือไม่

“เอาเป็นว่าเราเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปเชิญชวนให้เขามาร่วมแก้ไขปัญหาส่วนรวม โดยการหารือวันนี้ พูดคุยกันเฉพาะเรื่องของโครงสร้างคณะกรรมการฯ ไม่ได้พูดคุยถึงข้อเรียกร้องต่างๆ รวมถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุม หรือที่ทางพรรคก้าวไกลระบุว่า ต้องคุยในประเด็นปฏิรูปสถาบัน จึงจะเข้าร่วม ซึ่งผมเห็นว่าใครจะตั้งธงอย่างไรก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการว่าจะหารือพูดคุยในเรื่องอะไรบ้าง” นายชวน กล่าว

ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวด้วยถึงการเปิดสภาสมัยวิสามัญว่า ถือว่าเพื่อลดความกังวลของประชาชน ซึ่งข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประธานวุฒิสภามามีส่วนร่วมโดยมองว่า เมื่อมีสัญญาณจากนายกรัฐมนตรีในการประชุมครั้งล่าสุด ถือเป็นครั้งแรกที่นายกฯให้การสนับสนุน ซึ่งก็ถือเป็นสัญญาณแรกที่จะลดความรู้สึกของผู้ที่อยากจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และมีแนวโน้มว่าจะแก้

ส่วนการอภิปรายที่จะมีขึ้นนั้น วางแนวสภาว่าไม่อยากให้นำเรื่องสถาบันขึ้นมาเป็นเงื่อนไข โดยถือหลักตามรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ฉะนั้นเราพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นเงื่อนไขที่ 2 ฝ่ายทะเลาะหรือเผชิญหน้ากัน

ส่วนเรื่องการชุมนุม แม้เป็นภารกิจที่รัฐบาลดูแลอยู่ แต่ถ้ามีส่วนใดที่สภาสามารถช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้างก็ยินดี ซึ่งมอบภารกิจให้เลขาสถาบันพระปกเกล้าที่มีหน่วยงาน มีบุคลากรเรื่องความปรองดอง ก็ให้มาร่วมในการทำงานด้วย โดยไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลา แต่คิดว่าวิธีการที่เราพยายามแก้ปัญหาส่วนรวมก็คือพยายามคุยกันอย่างน้อยที่สุด ก็จะลดความขัดแย้ง รุนแรง คุกคาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันพระปกเกล้าเผยแพร่เอกสารระบุถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการสมานฉันท์ โดยมีรายละเอียดว่า จำนวนกรรมการที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 7-9 คน

โดยรูปแบบที่ 1 ผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ ซึ่งในรูปแบบนี้ มีข้อห่วงกังวล คือ 1.ตัวแทน 7 ฝ่าย อาจมีองค์ประกอบที่ไม่สมดุล น้ำหนักเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล ทำให้มีกรรมการจะไม่ได้รับรับความไว้วางใจ

2.ต้องระมัดระวังในการจัดหาผู้เอื้อกระบวนการ ซึ่งควรเป็นคณะทำงานจากหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน ไม่ควรผูกขาด, การจัดวาระการประชุมและการยอมรับในตัวประธานคณะกรรมการ 3.โอกาสที่พรรคฝ่ายค้านไม่ร่วมมีสูง

และ 4.การหาตัวแทนฝ่ายผู้ชุมนุมเป็นไปได้ยาก ส่วนรูปแบบที่ 2 การมีคนกลางนั้นมีข้อดีคือ ทำให้รัฐสภาเป็นพื้นที่ของการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ ส่วนข้อห่วงกังวลคือการยอมรับในตัวประธานคณะกรรมการและกรรมการ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน