“จตุพร” ซัด รัฐบาล-สภา ปัดตกร่างไอลอว์ หาทางรอด มองคนของรัฐสวมเสื้อเหลืองสร้างสถานการณ์ ร้องนายกฯ สอบรมต.ขนคนมาปะทะ ชี้ รธน.60ไม่ได้ร่างเพื่อเเก้ไข จบที่รัฐประหาร

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 พ.ย.2563 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์ คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 10 ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. นายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กับพวกรวม 13 คน

ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการตามมาตรา 215 มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากกณีเหตุการณ์แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งแรกเมื่อปี 2552 คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ

โดยศาลเบิกตัว นายณัฐวุฒิ จำเลยที่ 3 ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา คดีชุมนุมที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ปี 2550 มาศาล ส่วนพยานโจทก์ที่ต้องขึ้นเบิกความปากเเรก คือ พล.ต.ต วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (อดีต รองผบ.ช.น.)

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวถึงกรณีรัฐสภาไม่รับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับประชาชนของไอลอว์ ว่า การที่ทุกคนไม่ช่วยกันหาทางออก เท่ากับเป็นการผลักไสให้ผู้ชุมนุมพุ่งเป้าหมายไปที่ข้อเรียกร้องข้อที่ 3 คือการปฏิรูปสถาบันแต่เพียงข้อเดียว ซึ่งทุกคนต่างรู้ว่าเมื่อวานหากรับหลักการทั้ง 7 ร่าง แล้วไปแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ

อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา256 ยังมีมาตรา 255 ที่จะควบคุมการแก้ไขเอาไว้ โดยไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้

ส่วนที่มีความพยายามปั่นกระแสว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับไอลอว์จะทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศไทยนั้น ก็ไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ เพราะรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำให้ใครกลับบ้านได้

นายจตุพร ยังกล่าวว่า นอกจากไม่พยายามช่วยหาทางออกให้กับสถานการณ์แล้ว ยังมีข้อสงสัยว่าคนของรัฐก็ร่วมในการสร้างสถานการณ์ โดยการนำคนเสื้อเหลืองที่กลับไปแล้วกลับเข้ามาอีกเพื่อให้เกิดการปะทะและจะใช้มาตรการ เช่น การประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือจะเพิ่มพ.ร.บ.ฉุกเฉินเข้ามา และปิดท้ายด้วยการรัฐประหาร

“ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องสอบสวนรัฐมนตรีร่วมคณะ ว่าคนเสื้อเหลืองที่มาชุดหลังใครเป็นคนเอามา ผมพยายามเรียกร้องกันมาตั้งแต่ต้นว่า กลุ่มการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือจะเป็นนักการเมือง อดีตนักการเมือง

ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องไม่นำเสื้อเหลืองเข้ามาสวมใส่ เสื้อเหลืองควรจะเป็นส่วนเฉพาะให้กับพสกนิกรของพระเจ้าแผ่นดิน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนเสื้อเหลืองที่ไปแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีก็จะเป็นไปด้วยความงดงาม ความเรียบร้อย แต่เสื้อเหลืองที่มาจากนักการเมือง หรือคนทางการเมือง มักแสดงความก้าวร้าวรุนแรงพร้อมจะปะทะ” นายจตุพร กล่าว

ส่วนการอ่านคำวินิจฉัยกรณีการอาศัยบ้านพักราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 2 ธันวาคม นายจตุพร เชื่อว่าลึกๆสังคมมีความหวังว่านี่จะเป็นจุดคลี่คลายของสถานการณ์ ซึ่งไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ตนไม่ไปก้าวล่วง แต่ไม่ว่าผลจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม จะนำไปสู่สถานการณ์ที่มีความแตกต่างกัน

นายจตุพร ยังกล่าวว่า ต้องยอมรับความจริงว่านายกรัฐมนตรีเป็นปัญหา อย่างเช่นกรณีคดี ม.112 ที่นายกรัฐมนตรีได้พูดว่าใครจะพูดอะไรก็ได้ในหลวงไม่เอาความผิด ถือว่าเป็นการเปิดประตู แต่เจตนารมณ์จริงๆ ของคดี คือต้องการไม่ให้ใครก็ได้ไปฟ้องร้องคดี แต่เป็นการให้อำนาจเฉพาะอัยการสูงสุดเป็นโจทก์เท่านั้น

แต่การพูดของนายกรัฐมนตรีเป็นการเปิดประตู และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาตั้งแต่วันนั้น ดังนั้น จะเห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้แก้ไขเรื่องความแตกแยกและความสมานฉันท์อย่างแท้จริง ทั้งที่เข้ามาด้วยข้ออ้างว่าคนในชาติเกิดความแตกแยก ซึ่งที่ผ่านมาคู่ขัดแย้งเดิมต่างให้ความร่วมมือด้วยดีมาตลอด

“ในแต่ละเรื่องราวถ้านายกรัฐมนตรีมองสถานการณ์ว่า ถ้าไม่ช่วยแบกรับเรื่องรัฐธรรมนูญ หรือปัญหาต่างๆ ที่ตัวเองจะต้องเสียสละเป็นคนแรก หรือเรื่องรัฐธรรมนูญ เพียงท่านเปล่งวาจาว่าจะให้ผ่านแล้วไปแก้ในวาระที่ 2 ผมเชื่อว่าทั้ง ส.ว.และพรรครัฐบาลก็รับกันไปทั้ง 7 ร่าง

บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่ แล้วไปว่ากันในชั้นคณะกรรมาธิการ ก็จะลดทอนปัญหา แทนที่จะพุ่งเป้าไปที่สถาบัน แปลว่าทั้งรัฐบาลและรัฐสภาต่างช่วยเป็นด่านหน้าแบกรับ ซึ่งควรเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เอาตัวเองรอด แล้วให้สถาบันได้รับผลกระทบ อันนี้เป็นเรื่องที่ควรต้องตำหนิ” นายจตุพร กล่าว

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังพยากรณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า ไม่มีวันจะได้รับการแก้ไขโดยเด็ดขาด เชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ที่จะถูกฉีก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งการขนกำลังเพื่อให้เกิดการปะทะกันเป็นเงื่อนไขเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกฉีก เพราะฉะนั้นมีการออกแบบมาตั้งแต่ต้น ว่าไม่ได้ร่างไว้เพื่อให้สามารถแก้ไขได้ แต่มีไว้เพื่อส่งให้กับคณะรัฐประหารชุดใหม่

“เพราะฉะนั้นการที่ไม่รักษาบรรยากาศทั้ง 2 วัน มันชี้ได้ชัดว่าต่างก็รู้ปลายทางว่าอย่างไรก็ตามนั้น มันต้องจบเหมือนที่เคยจบ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ขณะนี้มันเปราะบาง แต่ก็อ่านออกกันได้ว่าทั้งรัฐบาลและรัฐสภาต่างไม่ช่วยเป็นด่านหน้าเพื่อปกป้องสถาบันอย่างแท้จริง ถ้าสองส่วนนี้ต่างช่วยกันเชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย แต่นี่พิสูจน์ได้ชัดว่าต่างคนต่างเอาตัวรอด ไม่ได้ปกป้องสถาบัน” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน