‘บิ๊กตู่’ ขอร่วมมือสกัดโควิด-19 ถ้าไม่อยากล็อกดาวน์ วอนอย่าติจนท.ให้หมดกำลังใจ แจงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสุขภาพ ไม่เกี่ยวเรืองอื่น ปีใหม่จ่อใช้มาตรการจัดโซน จำกัดคนเข้างานเคาท์ดาวน์
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 15 ธ.ค. 2563 ที่สถานีกลางบางซื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้เข้มงวดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ตาม แม้แต่ชายแดนเราก็ติดตามได้ ตรวจสอบ นำมารักษา ฉะนั้นไม่อยากให้ตื่นตระหนกกันมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการรวมคนในพื้นที่แคบๆ ไม่มีระยะห่าง ไม่ใส่หน้ากาก สิ่งเหล่านี้อันตราย โดยเฉพาะการรวมคนจำนวนมากในพื้นที่จัดการละเล่นจัดการแสดงต่างๆ หากไม่ใส่หน้ากาก เป็นอันตรายที่สุด โอกาสแพร่เชื้อติดเชื้อมีมาก ตรงนี้ไม่ได้ขู่ใคร แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ดังนั้น การจัดแสดงอะไรก็ตามที่มีคนหลายๆ จังหวัด ไปรวมกันเที่ยวตรงนั้น ถ้าเราไม่ควบคุมให้เข้มงวด จะเกิดปัญหาถ้าเกิดโรคระบาดจากตรงนั้นแพร่ขึ้นมา ผู้ที่เข้าไปชมกี่จังหวัดที่ไป และต้องกลับจังหวัดของตัวเอง ที่เป็นภูมิลำเนาก็จะนำการแพร่ระบาดกลับมาขยายต่อได้ นั่นแหละจะไปถึงที่เรียกว่าซูเปอร์สเปรดเดอร์ แต่วันนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น และก็ไม่อยากให้ถึงตรงนั้น ไม่อยากให้ทุกอย่างกลับไปล็อกดาวน์เหมือนเดิม ฉะนั้นอยู่ที่ความร่วมมือระหว่างกัน ถ้าพูดให้ร้ายกันไปมาก็มีปัญหา วันนี้โลกกำลังมีปัญหา เราต้องพยายามลดปัญหาให้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล อาสาชายแดน ก็มีการจับกุม ต้องเสนอข่าวกันแบบนี้บ้าง ไม่ใช่ว่าจับกุมแล้วไปเสนอว่าต้องมีมากกว่านี้ เป็นการคิดต่อไปอีก ถ้าจับไป 30 คน ก็คิดว่าต้องมีมากกว่านี้ ถ้าเขาจับได้ 30 คนคือ 30 คน 50 คน คือ 50 คน ถ้าสื่อเขียนดักหน้าดักหลังคนทำงานก็มีปัญหา วันนี้ตนได้เพิ่มกำลังทหารชายแดนมากพอสมควร ตลอดเส้นทางทั้งโดรนและคน ลวดหนาม ลองคิดดูเขาทำงานหนักขนาดไหน ถ้าติติงกันเป็นเรื่องก็เป็นปัญหา เจ้าหน้าที่ก็หมดกำลังใจ แต่ตนก็ได้ให้กำลังใจหน้าที่ตลอดทุกเรื่อง การแก้ปัญหาส่วนราชการต่างๆ เขาทำอยู่ ข้าราชการทำอย่างหนัก ถ้าท่านพูดหรือเขียนดักหน้าดักหลังกันไปมา มันจะทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ถ้ามันจะเกิดมันก็เกิด แต่มันต้องแก้ไขให้ได้
“สิ่งสำคัญที่อยากจะเน้นช่วงต่อจากนี้ไป กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ปีใหม่ของเรา เป็นปีแห่งความสุข เราไม่อยากให้กลับไปสู่ความทุกข์แบบเดิม คือล็อกดาวน์ ฉะนั้นเราต้องช่วยกันรักษาระยะห่าง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใส่หน้ากาก ต้องเตือนกัน หลายคนกลัวแต่บางคนไม่กลัว เพราะเห็นว่าไม่ติดเลยไม่กลัว แต่มันเกิดขึ้นได้ทุกโอกาสต้องระวังอย่างที่สุด งานปีใหม่กำลังให้พิจารณาอยู่ว่าจะจัดกันอย่างไร จัดในพื้นที่ ที่เป็นฟอรั่ม หรือเป็นโซนได้หรือไม่ ให้คนจำนวนน้อยมาในพื้นที่ ไม่ใช่เข้ามาแออัดกัน 30,000 คน ในพื้นที่เดียวกัน มันตามอะไรไม่ได้”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังให้วางแผนทั้งกรุงเทพมหานครและท้องถิ่น อยากกราบเรียนให้ผู้ที่จัดงานได้รับทราบ ว่าจะแบ่งพื้นที่เป็นหลายโซนด้วยกัน จะต้องมีมาตรการที่รัดกุมในการตรวจคนเข้าออก รวมถึงปริมาณคนที่เข้าไปได้ จะต้องมีการติดตามได้ทางโทรศัพท์ หากเกิดตรงไหนจะได้ตามตัวถูกและแก้ปัญหาได้ ช่วงที่ผ่านมาทำดีแล้วต้องขอบคุณประชาชนโดยทั่วไป และส่วนราชการถ้าไม่ร่วมมือกันมาตั้งแต่ต้นวันนี้ไม่เป็นอย่างนี้ มันจะหนักกว่านี้ นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลต้องเข้มงวด จำเป็นต้องมีพระราชกำหนดออกมาเพื่ออะไรเข้าใจหรือยัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เลย แต่เป็นเรื่องสุขภาพของพวกท่านทั้งสิ้น ฉะนั้นขอให้แยกแยะให้ออก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งตนเคยบอกไปแล้ว มี 3 รั้วด้วยกัน รั้วแรกคือแนวชายแดนทหารขึงพืดกันอยู่ ทั้งทางบกทางน้ำ และใช้โดรน ส่วนแนวที่ 2 พื้นที่ชั้นในตอนใน จังหวัดต่างๆ ได้มีมาตรการคัดกรองของพื้นที่ ตามหลักสาธารณสุข และแนวที่ 3 คือท้องถิ่น ชุมชน แม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็มีการเฝ้าระวัง ดูว่ามีใครผิดปกติเข้ามา และมีความเสี่ยงแค่ไหน มาจากที่ไหนหรือหายไปนานแล้วกลับมาภูมิลำเนา ได้รับการตรวจสอบหรือไม่ หรือเข้ามาช่องทางที่ผิดหรือเปล่า ซึ่งตัวท่านเองรู้ดีจะต้องรับผิดชอบสังคมด้วย สังคมถึงจะปลอดภัย
“วันนี้ผมอยากให้การเดินหน้าไปสู่ปีใหม่ของเราเต็มไปด้วยความสุข ประชาชนมีความสุข รัฐบาล และผมก็มีความสุข ถ้าประชาชนมีความทุกข์ รัฐบาลและผมทุกข์ยิ่งกว่า ขอให้จำคำพูดผมไว้ ผมทำทุกอย่าง ฉะนั้นกรุณาช่วยกันบ้าง สร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจ”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงโครงการคนละครึ่งด้วยว่า ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาโควิดได้ จ่ายเงินคนละครึ่งอะไรทำนองนี้ ถ้าเราไม่ทำมาก่อนก็คงไม่มี รัฐบาลคิดทำมานานแล้ว วันนี้ต้องมีคนทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพิ่มรายได้ให้คนรุ่นใหม่ มันต้องมีคนทำให้ อยู่ดีๆ รุ่นใหม่จะเริ่มเองทั้งหมดไม่ได้ เพราะเราอยู่ร่วมกันกับคนหลายวัย ดังนั้น ต่างคนก็ต่างเสริมกันเข้ามา ความสงบสุข ความรักความสามัคคีสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในเวลานี้
“ผมคาดหวังว่าในปีหน้า ถ้าวัคซีนสำเร็จจริง โดยที่เราไม่ไปซูเปอร์สเปรดเดอร์ก่อน เราน่าจะเป็นประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเพื่อน เพราะเราเตรียมความพร้อมไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งต้องยอมรับว่าลดจำนวนหลายประเทศ แต่ตอนนี้รัฐบาลจะสนับสนุนท่องเที่ยวให้ต่างประเทศเข้ามาคงยาก เพราะเปิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้ามา ถ้าจะมาก็ 8 ล้านคนไม่เกิน 10 ล้านคน ซึ่งเดิมมี 40 ล้านคน ผมเปิดให้เขามาเขาก็ยังไม่มา เพราะต้องเจอกักตัว 14 วัน ซึ่งจำนวนวันนี้เป็นเรื่องของสาธารณสุขพิจารณาบนความไม่เสี่ยง เรียกว่าเราต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ในช่วงนี้ ถ้าล้มก็ประคองอย่าให้ล้มหัวทิ่มหัวตำ ประคับประคองให้ยืนขึ้นลุกให้ไว และเดินหน้าให้เร็ว เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงโควิด อย่าให้เรื่องอื่นมาเป็นปัญหากับรัฐบาลหรือประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว