‘พท.ติง’ บัตรคนจน ห่วงบานปลาย ชี้ปัญหาอื้อ ยิ่งทำยิ่งเหลื่อมล้ำ แนะศึกษาให้รอบคอบก่อน จ่อเด้ง ‘ปลัดคลัง’ ปมจ้อเพิ่มวงเงินบัตร รัฐบาลแจงวุ่นไม่เพิ่มแน่ บิ๊กตู่ระบุยังมีสวัสดิการให้คนจนอีกขั้น บิ๊กป้อมเผยเองโรดแม็ปหากมีอุปสรรคต้องยืดไปตามห้วงเวลา ปธ.ยุทธศาสตร์เผยวางยุทธศาสตร์มุ่งทำทะเลให้สงบ ปัดปูทางเรือแป๊ะไร้คลื่น บิ๊กโด่งโยน ทบ.ดูแลราชภักดิ์

บิ๊กตู่แจงนัดคุยเจ้าพ่อเฟซบุ๊ก

เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฟซบุ๊ก จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยและเข้าพบในวันที่ 30 ต.ค.นี้ว่า การเดินทางมาเยือนและพบกับตนเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นการเดินทางมาดำเนินการในส่วนของเขา และขอเข้าพบและหารือร่วมกันในการแสวงหาความร่วมมือเรื่อง ของการป้องกันแก้ไขปัญหาในเรื่องผลกระทบ ของอาชญากรรมข้ามชาติว่าจะมีมาตรการและ แผนการป้องกันอย่างไร ซึ่งไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดปัญหา

“ขอร้องว่าการพบกันครั้งนี้อย่าไปยึดโยงกับเรื่องนั้นเรื่องนี้เลย ถือเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ก็ดีกว่าไม่ได้พูดกันเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ยันสอบทุจริตระบายข้าวทั้งหมด

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึง กรณีการระบายข้าวในฤดูกาลผลิตใหม่ จะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะมีกระแสข่าวข้าวค้างสต๊อกประมาณ 8 ล้านตันว่า เชื่อว่าไม่มีกระทบ รัฐบาลมีแผนที่จะระบายข้าวในสต๊อกให้หมด ส่วนปัญหาเรื่องการร้องเรียนจะต้องมีการตรวจสอบทั้งหมด โดยทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎกติกา รัฐบาลมุ่งมั่นในเจตนาที่จะไม่ให้มีผลกระทบกับข้าวฤดูกาลใหม่ และไม่ได้คิดแค่การขายข้าว แต่ดูห้วงเวลาที่เหมาะสมตามแผนงาน แม้บางกรณีมีคนไปหาผลประโยชน์ในการระบายข้าว มีการทุจริตในระดับล่าง เหล่านี้จะต้องตรวจสอบ เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดการทุจริต

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า การเตรียมการในพระราชพิธีสำคัญได้ฝากถึงประชาชนนานแล้ว ใครที่ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ที่ไม่เหมาะสม สังคมก็ช่วยกันกดดัน ช่วยกันคุ้มครองด้วย อย่าให้ต้องใช้กฎหมายมากนักเลย ขออย่า ให้เกิดปัญหาความไม่เรียบร้อยในประเทศขึ้นมาอีกในช่วงนี้ หรือในช่วงต่อไป และเป็นบทเรียนเพราะมีคนอาศัยช่องว่างต่างๆ ซึ่งต้องถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน

ส่วนกรณีที่มีนักการเมืองฉวยโอกาสนำงานพระราชพิธีทำกิจกรรมเชิงการเมืองนั้น เรื่องการเคลื่อนไหวที่มีการเชื่อมโยงภาคประชาชน นักการเมืองคงทราบดีกันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกหรือผิด สังคมรู้อยู่แล้วคงไม่ต้องถามตน

‘ป้อม’โวยเจ๊หน่อยอีก

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ถ้าใครทำให้สถานการณ์เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมา ไม่ว่าจะใครทั้งสิ้น ตนขอประณามไว้ก่อนเลย ที่ทำให้สถานการณ์มีความวุ่นวายในช่วงนี้ หรือช่วงต่อไปก็แล้วแต่ สังคมต้องช่วยกันดูแล ท่านต้องออกมาช่วยทำงาน เพราะตนใช้อำนาจแทนท่านอยู่ในตอนนี้ แต่ต้องออกมาแบบไม่ให้เกิดความสับสนอลหม่าน ไม่ออกมาเดินขบวนอะไรต่างๆ

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย แถลงชี้แจงกรณีสื่อโซเชี่ยลวิจารณ์การขึ้นรถแห่เชิญชวนประชาชนปลูกดอกดาวเรืองว่า เขาตอบอย่างนั้นแล้วสื่อเข้าใจหรือไม่ โดยบอกว่าไม่ตั้งใจและเป็นเรื่องผิดพลาด แต่ถามว่าจะผิดพลาดอย่างไรในเมื่อตัวหนังสือข้างรถตัวใหญ่มาก ซึ่งตนได้เตือนไปแล้ว ส่วนที่มีภาพร้องไห้ขอโทษนั้น ตนไม่รู้ เพราะไม่ได้ดู

ถ้ามีอุปสรรคก็ต้องยืดโรดแม็ป

พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกรณีที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แสดงความกังวล ว่าอาจมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูกอีกสองฉบับที่เหลือ อาจทำให้โรดแม็ปเลือกตั้งในเดือนพ.ย.2561 เลื่อน ออกไปว่า ไม่รู้ ต้องว่าไปตามกฎข้อบังคับที่กำหนดไว้ ถ้ามีใครยื่นตีความแล้วศาลพิจารณาช้าก็ต้องช้าเป็นธรรมดา ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะมีใครยื่นหรือไม่ ดังนั้นไม่ต้องไปกังวลมาก ยืนยันว่าต้องทำตามโรดแม็ปทั้งหมด ส่วนจะช้าหรือไม่ช้ายังไม่รู้

ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าการเลือกตั้งจะไม่ขยับจากเดือน พ.ย.2561 เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าอาจขยับไปเป็นช่วงเดือนก.พ.2562 พล.อ.ประวิตรกล่าวว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นคนไปกำหนด ขณะนี้เป็นไปตามที่นายกฯระบุว่าหากไม่มีอุปสรรคอะไรก็เป็นไปตามโรดแม็ป แต่หากมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นก็ต้องยืดไปตามห้วงเวลา แต่รัฐบาลไม่ได้เป็นคนไปทำให้ยืดออกไป นายกฯพูดถูกแล้ว ตนไม่ทราบว่าจะมีอะไรที่เป็นอุปสรรคอะไร

อนุดิษฐ์เหน็บเหยียบคนอื่นให้สูง

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรมว.ไอซีที โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงประเด็นดราม่าของคุณหญิงสุดารัตน์ ว่า ฝ่ายทำดีก็ทำกันไป อีกฝ่ายทำก็ไม่ต้องทำเอาดีแต่จับผิด เหยียบย่ำคนอื่นให้ตัวเองสูงขึ้น วันหนึ่งอาจไม่เหลือคนทำงานเลยก็ได้ ไม่ทำก็ไม่มีใครจับผิด แต่ถ้าทำแล้วถูกจับผิดบิดเบือน แถมโดนสังคมประณามกระหน่ำซ้ำสองนั้นเจ็บปวด อยากให้อ่านคำชี้แจงบ้างเพราะข้อเท็จจริงอาจเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้ อย่างที่เคยเห็น ดราม่าที่โอละพ่อมาแล้วหลายเรื่อง

น.อ.อนุดิษฐ์ได้นำข้อความที่คุณหญิงสุดารัตน์โพสต์เฟซบุ๊กซึ่งเป็นข้อความที่แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ต.ค.มาประกอบด้วย

บิ๊กตู่โวยปลัดคลังกลางครม.

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างการประชุมครม. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตำหนินาย สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดคลัง ผ่านทางนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กรณีให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่ารัฐบาลจะเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ออกมาให้ข่าวดังกล่าวกับสื่อมวลชนว่าการจะให้ข่าวอะไรต้องมีข้อมูลชัดเจนพอสมควร อย่างไรก็ตามในที่ประชุมครม.ไม่ได้หารือเกี่ยวกับรายละเอียดของบัตรคนจนเพิ่มเติมอีก

“นายกฯติงสั้นๆ ว่าปลัดกระทรวงการคลังพูดอะไรได้หารือกับรมว.คลังแล้วหรือยัง ซึ่งนายกฯไม่ได้พูดรายละเอียดอะไรมากไปกว่านี้ ส่วนเรื่องที่รัฐบาลจะเอาวงเงินเพิ่มให้อีกหรือไม่นั้นท่านนายกฯเคยคอมเมนต์ ตั้งแต่เริ่มต้นผลิตบัตรในโครงการนี้ว่าได้คิดทบทวนทุกมิติแล้วหรือยัง ซึ่งการช่วยเหลือครั้งนี้ไม่ใช่ช่วยพยุงทั้งชีวิต แค่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเท่าที่รัฐบาลช่วยเหลือให้ได้” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

จ่อเด้ง‘สมชัย’เหตุชอบจ้อ

แหล่งข่าวจากทำเนียบ กล่าวว่า หลังจากมีข่าวออกมาโดยคำสัมภาษณ์ของปลัดคลัง ว่ารัฐบาลจะให้วงเงินสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นเดือนละ 700-800 บาท ทำให้ นายกฯ รองนายกฯสมคิด และรมว.คลัง โกรธกับข่าวที่ออกมาอย่างมาก เนื่องจากเกรงว่าจะถูกบิดเบือนเป็นประเด็นทางการเมืองว่า การเพิ่มวงเงินเพื่อเอื้อให้เอกชนรายใหญ่ขายสินค้าได้เพิ่ม อีกทั้งในส่วนของระดับนโยบายยังไม่รู้จะไปเอาเงินมาจากไหน ภายใต้งบประมาณของรัฐบาลที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยนายสมคิด ยังได้โทรศัพท์ไปตำหนิการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ของปลัดคลังด้วย

รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้นายสมชัย สัจจพงษ์ อาจถูกปลดออกจากตำแหน่งปลัดคลัง เนื่องจากรัฐบาลมองว่าชอบออกมาให้ข่าวมากเกินไป และชอบเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง ทั้งที่ควรมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายนโยบายมากกว่าการออกมาพูด

คลังยันไม่เพิ่มเงินบัตรคนจน

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่า กรณีที่คลังออกมาชี้แจงแนวคิดว่าอาจเพิ่มวงเงินบัตรผู้มีรายได้น้อย จาก 200 บาทเป็น 700 บาท และ 300 บาทเป็น 800 บาท เนื่องจากมีผู้มีสอบถามว่าเป็นนโยบายที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ สั่งการหรือไม่ ซึ่งต้องทำการศึกษา หากผลการศึกษายังไม่ได้เป็นนโยบาย คลังก็ไม่ควรนำมาบอกว่าจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกฯ ออกมายืนยันแล้วว่ายังไม่มีนโยบาย ดังนั้นการเพิ่มวงเงินในบัตรจึงยังไม่เป็นความจริง แต่หากให้กระทรวงการคลังศึกษาก็ทำได้ ซึ่งคลังพร้อมจะทำตามที่รัฐบาลต้องการ เพื่อให้การช่วยเหลือตรงกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อยจริง

“การเพิ่มวงเงินในบัตรยังเป็นการศึกษา ไม่ใช่การสัญญาว่ารัฐบาลจะทำ และหากจะเพิ่มวงเงินจริง ถ้ามีผลก็ต้องเรียนผู้ใหญ่ก่อนว่าจะเอาหรือไม่ รัฐบาลจะเป็นผู้ชี้แจง ไม่ใช่หน้าที่กระทรวงการคลัง ผมต้องขอโทษที่พูดในสิ่งที่จะทำให้เข้าใจผิด เป็นต้นเหตุของข้อมูลเหล่านี้ ผมก็พร้อมจะรับในสิ่งนี้ ยืนยันว่ามันยังไม่ใช่นโยบาย แต่คลังก็จะทำการบ้านไปเรื่อยๆ” นายสมชัยกล่าว

รบ.ลั่นมีช่วยคนจนระลอก 2

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวหลังการลงพื้นที่ดูร้านธงฟ้าประชารัฐในเขตบางบางบอน กทม. ว่า เขตนี้เป็นเขตที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับสิทธิถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถึง 10,659 ราย เป็นการดำเนินงานตรวจติดตามความเรียบร้อยการเปิดจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐ ภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ และเป็นวันแรกของการรับบัตรใน 7 จังหวัด คือกทม.และปริมณฑล เป็นวันแรก การซื้อสินค้าของประชาชนเป็นไปอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่ใช้วงเงินในบัตรจับจ่ายสินค้าประเภท ข้าวสาร น้ำมัน เครื่องปรุงรส และสินค้าอุปโภคบริโภคของใช้จำเป็นต่างๆ

นายสนธิรัตน์กล่าวถึงกระแสข่าวจะเพิ่มเงินในบัตรคนจน และจะมีการโยกย้ายวงเงินในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาใส่ในบัตรใช้ซื้อสินค้า ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับนายสมคิด อาจเป็นเพียงแนวคิดของใครคนใดคนหนึ่ง และนายสมคิดยังไม่ได้สั่งการอะไรเพิ่ม ส่วนสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อยขณะนี้ยังเป็นเช่นเดิม ขอยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นการคัดเลือกและพิจารณาจากความพร้อมของร้านที่มีการสมัครเข้ามากว่า 30,000 แห่ง ประกอบกับดูที่ตั้งร้าน และผู้ใช้บริการว่าสอดคล้องกับความต้องการ ครอบคลุมหรือไม่

“ที่ประชุมครม.วันนี้ นายกฯกำชับว่า การมีสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยรอบนี้เป็นเพียงขั้นที่ 1 ในการช่วยประชาชน ต่อไปรัฐบาลจะดำเนินการขับเคลื่อนขั้นที่ 2 ให้กลุ่มนี้พ้นจากความยากจน” นายสนธิรัตน์กล่าว

จาตุรนต์ชี้บัตรคนจนปัญหาอื้อ

วันเดียวกัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า บัตรคนจนอาจเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ เรื่องนี้ดำเนินการเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และกำลังเป็น กระแสวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย เริ่มจากข่าวความไม่รัดกุม มีช่องโหว่ โดยผู้มีรายได้น้อยเอาบัตรสวัสดิการไปแลกเป็นเงินกับร้านธงฟ้าประชารัฐในพื้นที่ ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไข ขณะเดียวกันร้านธงฟ้าบางแห่งที่ยังไม่ได้มีการติดตั้งเครื่องอีดีซี แต่มีป้ายหน้าร้านว่าพร้อมรับบัตรสวัสดิการและสามารถมารับสินค้าออกไปก่อนได้ในวงเงิน 200 บาท โดยทางร้านจะยึดบัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อยไว้ก่อน

“โครงการนี้มีประเด็นที่ต้องฉุกคิดและตั้งคำถามหลายเรื่อง เช่น ความครอบคลุมของการให้บริการที่สามารถใช้ได้เฉพาะกับร้านธงฟ้าที่ติดตั้งเครื่องอีดีซีเท่านั้น แต่ยังมีร้านธงฟ้าที่ไม่มีเครื่องอีดีซี 14,000 จาก 19,500 แห่ง แล้วคนที่ถือบัตรจะเข้าถึงร้านธงฟ้าได้อย่างสะดวกจริงหรือไม่”

ซัดยิ่งช่วยยิ่งทำเหลื่อมล้ำ

นายจาตุรนต์กล่าวว่า ความไม่เท่าเทียมของประโยชน์ที่ได้รับ คนรายได้น้อยใน 7 จังหวัดคือ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา สมุทร ปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม จะได้วงเงินช่วยค่าเดินทางโดยรถเมล์และรถไฟฟ้า ส่วนในจังหวัดอื่นนอกเหนือจาก 7 จังหวัด ดังกล่าวได้เฉพาะเงินช่วยเหลือค่ารถบขส. และค่ารถไฟ จึงเป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน การให้สวัสดิการกับคนใน 7 จังหวัดนี้มากกว่าที่อื่นทั้งที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า ยิ่งไปทำให้ความเหลื่อมล้ำห่างออกจากกันมากขึ้นอีก และยังไม่ชัดว่ารัฐจะจ่ายเงินให้นานแค่ไหน ต่างจากโครงการที่แล้วที่ให้ครั้งเดียวจบ จึงทำให้ไม่ทราบว่าโครง การบัตรคนจนนี้จะใช้เงินงบประมาณรวมทั้งหมดเท่าไหร่ และใช้ไปอีกกี่ปี และโครงการที่ให้เปล่าอย่างนี้ เมื่อทำแล้วมีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าจะเอาเงินจากไหนมาอุดหนุน จะขึ้นภาษีหรือไม่อย่างไร

“จึงควรวางแผนป้องกันไม่ให้บัตรคนจนกลายเป็นแรงจูงใจให้ผู้ถือบัตรไม่อยากพ้นจากการเป็นคนจน และโครงการนี้จะมีผล ต่อเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตอย่างไร การกำหนดนโยบายที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ควรทำกันแบบเพิ่มนั่นเติมนี่ไปตามใจชอบ โดยไม่รู้ว่ากำลังจะเดินไปสู่อะไร แต่ควรจะมีกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์นโยบายอย่างเป็นระบบ ที่ต้องเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่อย่างที่ทำกันอยู่”

แนะ‘รบ.’ศึกษาวิเคราะห์ก่อน

นายจาตุรนต์กล่าวว่า อาจกำลังต้องการสร้างระบบรัฐสวัสดิการแบบปุบปับ และปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าไม่ได้เตรียมการซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ถามว่าจะไม่ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะประเทศที่มีระบบรัฐสวัสดิการจะเก็บภาษีสูงมากกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ขณะที่ไทยมีรายได้จากภาษีอยู่ที่ประมาณ 15-17% ถ้าจะใช้ระบบรัฐสวัสดิการต้องปรับโครงสร้างภาษีแล้วไทยพร้อมหรือไม่ ในภาวะที่รัฐบาลขาดดุลการคลังปีละจำนวนมาก และใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อยู่เป็นระยะ

“ดังนั้นการกำหนดนโยบายที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ควรทำกันแบบเพิ่มนั่นเติมนี่ไปตามใจชอบ โดยไม่รู้ว่ากำลังจะเดินไปสู่อะไร แต่ควรจะมีกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์นโยบายอย่างเป็นระบบ ที่ต้องเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่อย่างที่ทำกันอยู่”

กรธ.ยันส่งกม.ลูกตามกำหนด

ที่รัฐสภา นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. แถลงความคืบหน้าการดำเนินงานของ กรธ.ว่า กรธ.จะพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐ ธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ และส่งให้กับ สนช.วันที่ 31 ต.ค. จากเดิมกำหนดส่งให้ สนช.พิจารณาในวันที่ 24 ต.ค.นี้ แต่เนื่องจากมีวันหยุดราชการหลายวันจะทำให้ สนช.มีเวลาพิจารณาน้อยลง จึงเลื่อนกำหนดส่งออกไป เพื่อให้ สนช.มีเวลาพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ และยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อเวลาที่กำหนดไว้

นายนรชิต สิงหเสนี โฆษก กรธ. กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจาณาร่างพ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ว่า ขณะนี้คืบหน้าไปมาก กรธ.ได้เชิญผู้แทนจาก กกต.มาร่วมพิจารณาด้วยตลอด สาระสำคัญอยู่ที่การเลือกตั้งไขว้ 20 กลุ่มอาชีพ ทั้งนี้ กรธ.มีกำหนดส่งร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ให้ สนช.พิจารณาวันที่ 21 พ.ย. และส่งร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ให้ สนช.พิจารณาในวันที่ 28 พ.ย. ตามเดิม

สนช.แจงคิวถก‘กม.ลูก’

ที่รัฐสภา นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงว่า ในการประชุมสนช.วันที่ 19 ต.ค. จะพิจารณาร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน วาระ 2 และ 3 น่าจะใช้เวลาพิจารณานานพอสมควร เนื่องจากมีผู้สงวนคำแปรญัตติในหลายมาตรา โดยเฉพาะในมาตรา 7 วรรคท้าย เกี่ยวกับอำนาจผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ป.ป.ช. ซึ่งกมธ.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ เพราะเป็นการใช้อำนาจเกินอำนาจของผู้ว่าการสตง. ทั้งนี้ความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องความคิดเห็นไม่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง

นพ.เจตน์ กล่าวว่า ส่วนกรณีอาจจะตั้งกมธ.ร่วม 3 ฝ่ายในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ขึ้นอยู่กับกรธ.ว่ามีประเด็นใดที่ยังเห็นว่าเป็นความขัดหรือแย้งและจะทำหนังสือทักท้วงมา ขอให้สนช.ได้ตั้งกมธ.ร่วมเพื่อทบทวนในประเด็นใดบ้าง อย่างไรก็ดีขณะนี้มีร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ค้างพิจารณาอยู่ 3 ฉบับ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป.ป.ช. ซึ่งคาดว่าจะส่งให้ประธานสนช. หลังงานพระราชพิธี หรือวันที่ 31 ต.ค.นี้ 2.ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะยังคงกำหนดเดิม ในวันที่ 21 พ.ย. และ 3.ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. จะส่งให้สนช.ในวันที่ 28 พ.ย.นี้

ครม.เห็นชอบร่างจริยธรรม

ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ ประชุมครม.เห็นชอบข้อเสนอแนะต่อร่างมาตร ฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงาน ธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. … ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เสนอ ที่มีการพิจารณาร่วมกับกระทรวง ยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อปรับแก้หลักการและถ้อยคำในร่างดังกล่าวที่เคยเสนอต่อครม.ก่อนหน้านี้ เนื่องจากร่างเดิมจะทำให้ตีความได้กว้างเกินไป จนอาจเกิดปัญหาในการบังคับใช้กับสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการบริหารพรรคการ เมือง และครม.ในอนาคต เช่น ประเด็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระเป็นกลางไม่หวั่นไหวต่อกระแสสังคม เพราะโดยธรรมชาติจะนำมาใช้กับองค์กรทางการเมืองไม่ได้ จึงให้พิจารณาถ้อยคำที่ผ่อนปรนมากยิ่งขึ้น เช่น ใช้คำ ว่าตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอแนะให้เพิ่มข้อความบางอย่าง เช่น เรื่องการให้ข้อมูลข่าว สารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อ มวลชนอย่างถูกต้องครบถ้วน และไม่บิดเบือน ซึ่งจะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาปรับแก้ร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป

ปธ.ยุทธศาสตร์ปัดปูทางเรือแป๊ะ

ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ประธานคณะกรรม การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคง พร้อมคณะกรรมการ ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคง ร่วมกันแถลงข่าวการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงว่า การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ด้านความมั่นคงไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ แต่นำยุทธศาสตร์ ที่มีอยู่แล้วของรัฐบาล และของนักศึกษาวปอ. ที่นายกฯเคยมารับฟังแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลมาใช้ด้วยคือการ“ทำทะเลให้สงบ ไร้คลื่น เพื่อให้เรือทุกประเภท ออกทำภารกิจได้ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมให้สงบ เพื่อเอื้อต่อการเดินหน้าประเทศ แต่คงไม่อาจราบเรียบ เหมือนกระจก เพราะทะเลไม่สงบอยู่แล้ว มีคลื่นบ้าง แต่ต้องทำให้เดืนเรือได้ เพราะถ้าไม่มั่นคง ด้านอื่นๆ จะเดินไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าการทำทะเลให้สงบ ไร้คลื่น ไม่ใช่เพื่อรองรับเรือแป๊ะ หรือรองรับ พล.อ. ประยุทธ์ ใช่หรือไม่ พล.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรือแป๊ะ แต่สำหรับเรือทุกลำ ทุกประเภท และไม่ใช่เพื่อรองรับใคร แต่เพื่ออนาคตประเทศใน 20 ปี ข้างหน้า

โด่งโบ้ยผบ.ทบ.คุมราชภักดิ์

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมครม. ถึงกรณีที่มีสำนักข่าวระบุว่าการก่อสร้างห้องน้ำ สร้างร้านค้าในพื้นที่อุทยานราชภักดิ์ เป็นเงินประมาณ 15 ล้านบาท ว่า เป็นเรื่องของกองทัพบก เพราะได้มอบหมายความรับผิดชอบให้ไปแล้ว ส่วนมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ก็ได้มอบหมายให้ ผบ.ทบ. เป็นประธานมูลนิธิโดยตำแหน่งแล้ว โดยผบ.ทบ.แต่ละยุคก็จะดำรงตำแหน่งประธานในทุกยุคและทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลต่อไป

ดังนั้น รายละเอียดต่างๆ ต้องไปถามผบ.ทบ.เอง ทั้งนี้ผมอยากให้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อให้เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน และให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตามได้ให้คำแนะนำแก่กองทัพบกไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้างเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน” พล.อ.อุดมเดชกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน