ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.40 น. นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้เดินทางมายังกระทรวงคมนาคม ราชดำเนิน นำดอกไม้ ธูป เทียน เข้ามากราบสักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ประจำกระทรวงคมนาคม เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มปฏิบัติงาน โดยมีชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม และข้าราชการระดับสูงรอต้อนรับ หลังจากนั้นได้เชิญปลัดกระทรวงคมนาคมและข้าราชการระดับสูงเข้าหารือ เพื่อขอรับทราบภาระกิจและการดำเนินโครงการภาพรวมของกระทรวงคมนาคม หลังจากนั้นเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลาประมาณ 8.30น.

นายไพรินทร์กล่าวว่าไม่ได้รู้สึกหนักใจกับการมารับตำแหน่งรมช.คมนาคม แต่รู้สึกสบายใจ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ และข้าราชการทุกคนมีความเข้มแข็งในการทำงาน เชื่อว่าไม่มีปัญหาใดที่แก้ไขไม่ได้ ส่วนการแบ่งงานต้องรอให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคมเดินทางกลับจากต่างประเทศก่อนคาดว่าวันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)น่าจะมีการหารือร่วมกับรมว.คมนาคม เพื่อแบ่งงานอีกครั้งว่าจะให้รับผิดชอบดูแลส่วนไหน ซึ่งก็พร้อมทำงานเพราะที่ผ่านมามีพื้นฐานการบริหารงานมาจากปตท. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ คาดว่าจะนำความรู้ส่วนนี้มาผลัดกันโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงได้ โดยเฉพาะการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ เออีซี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล เนื่องจากอีอีซีเป็นพื้นเศรษฐกิจที่มีผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยโดยตรง เฉพาะมูลค่าทางเศรษฐกิจในเขตนิคมอุตสาหกรรมตะวันออกมาบตาพุดเพียงแห่งเดียวพบว่ามีสัดส่วน 20-30% ของจีดีพีประเทศ ซึ่งหากเร่งพัฒนาอีอีซีจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้รวดเร็วขึ้นอีก และจะทำให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากได้รับมอบหมายให้ดูแลงานเดิม ที่นายพิชิต อัครทิตย์ อดีตรมช.คมนาคม เคยรับผิดชอบ คือ การรถไฟแห่งระเทศไทย(รฟท.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) การท่าเรือ(กทท.) ฯลฯ จะมีแนวทางในการแก้ขัญหาและผลักดันหน่วยงานต่างๆอย่างไร นายไพรินทร์กล่าวว่าในส่วนของ รฟท.นั้นหากได้รับมอบหมายจะเข้ามาผลักดันแผนลงทุนโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เมืองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาดบริเวณพื้นที่รอบสถานีรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ต้องการจะส่งเสริมเรื่องนี้ รวมทั้งก่อนหน้านี้ อดีตรมว.คมนาคม พล.อ.ประจิน จั่นตอง เคยมอบหมายให้ ปตท. ช่วยศึกษา ซึ่งตามผลการศึกษาของปตท.เสนอให้มีการทำใน 6 หัวเมืองใหญ่ โดยอาจจะนำร่องจากสถานีกลางบางซื่อซึ่งจะทำเป็นฮับการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ที่ทันสมัยของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการลงทุนมากเพระเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และเปิดโล่ง, สถานีรถไฟเชียงรากน้อย จะทำเป็นฮับที่อยู่อาศัยของคนที่ต้องเดินทางเข้ามาทำงานที่กรุงเทพแบบไปเช้าเย็นกลับ(เบดทาวน์) , สถานีที่อุดร และขอนแก่นเป็นต้น

ส่วน ขสมก. ถือเป็นหน่วยงานที่มีความน่าสนใจ เพราะทำหน้าที่รองรับการให้บริการประชาชน ส่วนปัญหาเรื่องการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489คัน นั้นมองว่าแก้ไขได้ไม่ยากหากสามารถทำให้ ขสมก. ปลอดจากการเมืองโดยจะต้องเข้าไปแยกแยะปัญหาก่อนแล้วจึงแก้ไขที่ละเรื่อง ส่วนรถที่จัดซื้อเป็นเชื้อเพลงเอ็นจีวีเห็นว่ามีความเหมะสมแล้ว เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสะอาดปล่อยมลพิษออกสู่อากาศน้อยกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงถึง50% ขณะที่รถเมล์ไฟฟ้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะอีกไม่เกิน 10 ปีรถยนต์ไฟฟ้าจะขยายตัวมากขึ้นครอบคลุมไปถึงรถบรรทุกไฟฟ้า รวมทั้งราคารถก็จะถูกลงซึ่งจะทำให้รูปแบบการขนส่งของประเทศพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นห่วงปัญหาอะไรในกระทรวงคมนาคมมากที่สุด นายไพรินทร์กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจกับสถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนของไทยที่ติดอยู่ในระดับโลก ซึ่งสาเหตุของอุบัติเหตุทางถนนส่วนใหญ่ 90% เกิดจากสภาพของคนขับรถเช่น หลับใน เล่นมือถือ ส่วนตัวแล้วสนใจที่เข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้มาก ซึ่งตอนที่ทำงานที่ ปตท.ได้ทำงานเรื่องความปลอดภัยทางถนนมาอย่างต่อเนื่องเพราะปตท.มีการใช้การขนส่งก๊าซและน้ำมันผ่านทางถนนจำนวนมาก โดยในอนาคตจะต้องเร่งยกระดับความปลอดภัยทางถนนให้สูงขึ้น เพื่อให้อัตราการตายเป็น 0 โดยอาจจะนำมาตรการการตรวจสุขภาพการนอนหลับ (สลีพเทสต์Sleep test) มาใช้ทดสอบผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะ เพื่อตรวจสอบว่าผู้ขับขี่แต่ละรายมีการพักผ่อนนอนหลับเพียงพอ และพร้อมที่จะขับรถต่อได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน