“วิโรจน์” ชี้ ถ้ารัฐบาลโปร่งใส ข่าวลือไม่เกิด ถาม หาวัคซีนไม่เต็มแขนประชาชน เป็นเฟกนิวส์หรือไม่ จี้ ยกเลิกข้อกม.ปิดปากสื่อ ซ้ำเติมความสูญเสียปชช.

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 ก.ค.64 ที่ทำการพรรคก้าวไกล ย่านหัวหมาก นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าวกรณีประกาศข้อกำหนด ฉบับที่ 29 ตามมาตรา 9 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลยืนยันหากรัฐมีความโปร่งใส ข่าวลือใดๆ ก็จะไม่มี ที่ผ่านมารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารงานอย่างไม่เคยเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบอย่างโปร่งใส ล่าสุดมีประชาชนเรียกร้องให้เปิดระบบติดตามตรวจสอบห่วงโซ่ความเย็น เพื่อจะได้ตรวจสอบการส่งมอบวัคซีน

ก็ปรากฏว่าจนถึงวันนี้ประชาชนยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ยิ่งรัฐบาลอำพรางและปกปิดความจริงกับประชาชน ก็เป็นเรื่องธรรมชาติและธรรมดาที่ประชาชนจะยิ่งมีความกังวล และจะต้องสื่อสารกันเองเพื่อสะท้อนความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน ยิ่งเอกสารและข้อเท็จจริงที่หลุดออกมาไม่ตรงกับที่รัฐบาลสื่อสารกับประชาชนก่อนหน้า

การวิพากษ์วิจารณ์และการต่อว่ารัฐบาลก็เป็นเรื่องที่ประชาชนและสื่อมวลชนจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ นี่ไม่ใช่เฟกนิวส์ แต่เป็นสัญญาณสะท้อนว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ล่มสลายในความน่าเชื่อถือที่มีต่อพี่น้องประชาชนเรียบร้อยแล้ว เป็นรัฐบาลที่รอวันจะพังทลายลง

นายวิโรจน์ กล่าวว่า แผนจัดหาวัคซีน 61 ล้านโดสที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ก่อนหน้านี้มาตลอดว่า จะมีการส่งมอบในเดือนก.ค.-พ.ย.64 วันนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ สัญญา 35 ล้านโดสก็เพิ่งลงนามไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ประชาชนก็มีความชอบธรรมที่จะตั้งข้อสงสัยว่าแล้วที่ผ่านมารัฐบาลให้คำว่ามั่นกับประชาชนได้อย่างไร

วันที่ 17 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข กล้าที่จะให้คำมั่นกับประชาชนกลางสภาผู้แทนราษฎร ในคราวถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 64 จะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอยู่เต็มโรงพยาบาล อยู่เต็มแขนพี่น้องประชาชน และยังกล้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใครมาตัดคิว ไม่มีใครมาแย่งจากมือของพี่น้องประชาชนไปได้ เพราะวัคซีนผลิตในบ้านของเรา

นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีมีการสื่อสารกับประชาชนผิดพลาดมาตลอด เมื่อครั้งวันที่ 2 มิ.ย. ที่พูดว่าการตัดสินใจไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และในวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติก็ออกมาขอโทษประชาชน และตัดสินใจเข้าร่วมโคแว็กซ์ รวมถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ พูดในทำนองว่าจะไม่ให้ไทยเป็นประเทศที่ต้องทดลองวัคซีนเมื่อวันที่ 17 ม.ค. และสำทับด้วยนายอนุทิน เมื่อวันที่ 2 ก.พ.

แต่ในท้ายที่สุดก็มีการประกาศใช้วัคซีนสูตรผสมระหว่างซิโนแวค กับแอสตร้าเซนเนก้า ทั้งที่ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบและเพียงพอ นี่คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ไม่สามารถทำได้ตามที่พูด และเป็นการสื่อสารที่ไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อถือได้อีกต่อไป

นอกจากนี้วันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขอยากเปิดเผย 4 ผลการศึกษาในทำนองที่ยืนยันว่าวัคซีนซิโนแวค ยังมีประสิทธิภาพสามารถรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ โดยตอนหนึ่งได้ระบุว่าในเดือนมิ.ย.ที่ต้องเผชิญหน้ากับอัลฟาและเดลตา วัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพป้องกันถึง 75% ซึ่งทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัย เพราะการศึกษาของเจ ซีบีไอ ที่ประเทศอังกฤษที่ระบุว่า แอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม รับมือกับเดลต้าได้ 60% เหตุใดจึงใช้วัคซีนสูตรผสม ทำไมไม่ใช้ซิโนแวค 2 เข็ม

‘ก้าวไกล’ ถามข้อมูลผิดๆที่รัฐนำเสนอ มีความผิดหรือไม่

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า จากประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 29 ในตอนหนึ่ง ระบุว่าการสื่อสารที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัวนั้นเป็นความผิดอาญา พรรคก้าวไกลจึงขอตั้งคำถามว่าการบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่มีความผิดหรืออย่างไร การสื่อสารที่ทำให้ประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง รู้สึกกังวล รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก รู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียบย่ำซ้ำเติม ไม่มีความผิด ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ จากรัฐบาลหรืออย่างไร

ทั้งกรณี นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าจะมีประชาชนโชคร้ายต้องตายที่บ้านบ้าง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าประชาชนที่เสียชีวิตที่บ้านไม่ใช่โชคร้าย แต่ต้องเจอกับสภาพแบบนี้เพราะความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาล การไม่นำพาต่อคำแนะนำและการเตรียมความพร้อมที่ดี เพื่อรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ยังมีการสื่อสารของข้าราชการการเมืองที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐมากล่าวหาเหยียบย่ำซ้ำเติมประชาชนว่า ภาพที่ประชาชนล้มลงกลางถนนเป็นการจัดฉาก ซึ่งนับปัจจุบันนี้ก็มีสื่อมวลชน และภาคประชาชนนำเสนอชี้แจงแล้วว่า ประชาชนบางรายก็ล้มลงด้วยการป่วยด้วยโรคโควิด-19 บางรายล้มลงด้วยสาเหตุอื่น แต่ไม่อาจจะเข้าไปช่วยได้ เพราะกังวลว่าคนที่ล้มลงจะป่วยด้วยโรคโควิด-19 หรือไม่

การสื่อสารว่าประชาชนจัดฉากเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติมและมองไม่เห็นความสูญเสียของพี่น้องประชาชน ยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องชี้แจงกับประชาชน ให้ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงกับประชาชนหรือไม่ ทั้งจำนวนยอดติดเชื้อและเสียชีวิตรายวัน ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นับรวมจำนวนผลตรวจจาก Antigent Test Kit (ATK) และตรวจเชิงรุกไม่เพียงพอ คำถามของประชาชนจึงเกิดขึ้นทันทีถึงจำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริง

หากรัฐบาลไม่รายงานก็เป็นการปกปิดอำพรางข้อเท็จจริง ประชาชนก็สามารถสงสัยได้ว่านี้เป็นความพยายามที่จะปั่นตัวเลขให้น้อยกว่าตัวเลขจริงหรือไม่ ซึ่งเอกสารของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค คำนวณไว้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในกลุ่มสีเขียวน่าจะมีถึง 6 เท่า การอำพรางตัวเลขในลักษณะนี้ จะเป็นภาระกับการจัดการสถานการณ์อย่างมาก ทำให้รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาด ท่ามกลางความสูญเสียของประชาชนมากไปกว่าเดิม

นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลายครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ได้ให้คำมั่นกับประชาชนแล้วก็ทำไม่ได้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะทวงสัญญา เมื่อวันที่ 23 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งโดยที่ไม่มีขั้นตอน และในรายละเอียด สั่งสั้นๆ ว่าห้ามให้ประชาชนตายริมถนนอีก นี่คือใจความสำคัญ แต่ในท้ายที่สุดเมื่อไม่ได้ทำงานที่หน้างานและไม่ได้ดูอุปสรรคที่เกิดขึ้น ทำให้ในท้ายที่สุดวันที่ 27 ก.ค. นายสาธิต ก็ต้องออกมาสารภาพว่าอาจจะโชคร้ายที่มีประชาชนตายที่บ้านบ้าง นี่คือความล้มเหลวในการทำงานของรัฐบาล และความล้มเหลวในการสื่อสารกับประชาชนทั้งสิ้น

สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานถึงแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ว่า ผลตรวจผู้ป่วยจาก ATK จะต้องได้รับการดูแลเสมือนผู้ป่วยในระบบ และแพทย์จะต้องสั่งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์โดยเร็วที่สุดคือตั้งแต่เริ่มมีอาการภายใน 4 วัน เพราะจะมีประสิทธิผลในการรักษาโรคอย่างมาก แต่ในทางปฏิบัติโรงพยาบาลหลายแห่งยังไม่ได้นำแนวเวชปฏิบัติไปปฏิบัติ แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาออกคำสั่งฉบับที่ 29 เพื่อควบคุมการเผยแพร่ของสื่อมวลชน และพยายามยัดเยียดการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน และการเห็นต่างของประชาชนให้เป็นเฟกนิวส์ แม้แต่เสียงบ่นของประชาชนก็จะไม่ให้บ่น

‘วิโรจน์’ จี้ ‘ประยุทธ์’ ยกเลิกประกาศควบคุมสื่อ

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลจึงขอเรียกร้องว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่เฟกนิวส์ เด็กสองคนที่เป็นกำพร้าจากการสูญเสียคุณแม่เป็นความจริง เด็กหลายคนที่ต้องเป็นกำพร้าเป็นเรื่องจริง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องให้ประชาชนได้สะท้อนบ้าง อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมประชาชนไปมากกว่านี้ อย่าก่อกรรมทำเข็ญให้ประชาชนรู้สึกเสียอกเสียใจไปมากกว่านี้ เราขอยืนยันว่าให้พล.อ.ประยุทธ์ ยกเลิกประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 29 โดยทันที และให้เกียรติประชาชนมากกว่านี้ พร้อมเร่งดำเนินการตามที่พรรคก้าวไกลนำเสนอ และสั่งการไปยัง พล.อ ประยุทธ์ก่อนหน้านี้

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ล่าสุดได้รับทราบว่า มีทีมงานรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ไปฉีดวัคซีนเข็ม 3 ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งพร้อมกับโพสต์เฟซบุ๊ก แต่ตอนนี้ลบไปแล้ว ยังไม่นับกรณีตำรวจบุรีรัมย์ ที่ประชาชนก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามว่าทำงานด่านหน้าจริงหรือไม่ วันนี้ตนจึงต้องเรียกร้องเพิ่มเติมว่าในเมื่อมีข่าวว่ทีมงานรัฐมนตรีไปฉีดเข็ม 3 ทั้งๆ ที่มีประชาชนจำนวนมากที่ลงทะเบียนถูกเลื่อน ถูกลอยแพ

แล้วทีมงานของรัฐมนตรีที่ไม่ได้ทำงานด่านหน้าไปฉีดวัคซีนได้อย่างไร คราวนี้รัฐบาลต้องยืนยันและชี้แจงว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงด้วยเหตุผลประการใด และมีคนที่ประชาชนเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มวีไอพีแบบนี้ที่เกี่ยวพันโยงใยกับรัฐมนตรีในรัฐบาลไปฉีดเข็มที่ 3 แบบนี้กี่ราย นี่คือสิ่งที่และประชาชนต้องการคำตอบจากพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้

“ในลำดับต่อไป เราก็จะใช้กลไกในสภาผู้แทนราษฎรในการเรียบร้องอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งภาคประชาชนและสื่อมวลชนก็จะไม่ยอม ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ มีความเป็นคน ผมคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์คิดได้” นายวิโรจน์ กล่าว

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน