ณัฐวุฒิ‘ ลั่นเดิมพันสันติภาพ ไม่ลุย-ไม่บวก-ไม่ปะทะ ฝากความห่วงใยถึง คฝ. ขอให้ได้เบี้ยเลี้ยงเต็มเม็ดเต็มหน่วย จี้ ‘ประยุทธ์’อย่าหันหลังให้ความรุนแรง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) และ อดีตแกนนำ นปช. ที่ประกาศนัดหมายทำกิจกรรม ‘คาร์ปาร์ก’ 3 เส้นทาง ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นการรวมกิจกรรม คาร์ม็อบและไฮปาร์ก (ปราศรัย) ไว้ด้วยกัน เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้น

ล่าสุด ได้โพสต์ภาพกราฟิกพร้อมข้อความ ผ่านทางเฟซบุ๊ก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุว่า เดิมพันสันติภาพ ไม่ลุย ไม่บวก ไม่ปะทะ ไล่ประยุทธ์นะจ๊ะ ให้มันจบที่รุ่นมัน #ไล่ประยุทธ์

ณัฐวุฒิ ระบุว่า หลังแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม ‘CAR PARK’ ที่จะจัดขึ้นทั่วประเทศในช่วงเย็นของวันที่ 15 สิงหา ณัฐวุฒิกล่าวถึงการใช้กำลังเข้าควบคุมประชาชนอย่างต่อเนื่องของฝ่ายรัฐ พร้อมประกาศชัด ว่าตนยึดแนวทางสันติวิธี

อย่างที่พวกเรารับทราบ ว่าหลายวันมานี้ มีเหตุการณ์ปะทะด้วยกำลัง ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุม จนแทบจะกลายเป็นภาพชินตา แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลของผู้คน

เรียนไปยังรัฐบาล เรียนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมชักธงสันตินะครับ ไม่ได้ชักธงสงคราม

แน่นอนที่สุด ผมอยู่ข้างประชาชน เมื่อเกิดการปะทะ เมื่อเกิดการบาดเจ็บ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จะแสดงตนเสมือนหนึ่งมีประชาชนเป็นคู่กรณีไม่ได้ การใช้กำลัง การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเป็นไปโดยภายใต้กรอบของกฎหมาย ตามหลักสากล และด้วยเมตตาธรรมของคนสวมเครื่องแบบที่มาจากภาษีอากรของประชาชน

ผมยืนอยู่ในสนามการต่อสู้มาแล้วสิบกว่าปี ไม่ว่าจะถูกสร้างภาพให้สังคมเข้าใจว่าอย่างไรก็ตาม แต่ผมแน่ใจว่าประสบการณ์ทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ประสานงานกับผมมาตลอดการต่อสู้ ท่านต้องทราบว่าผมยึดหลักสันติวิธี ท่านต้องจำได้ว่าในวิกฤตที่สุด ในความรุนแรงท่ามกลางความสูญเสีย

ผมเป็นคนที่เดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงทุกครั้ง แล้วเจรจากับฝ่ายรัฐเพื่อยุติความรุนแรง ยุติความสูญเสีย บางครั้งการทำหน้าที่เหล่านั้นทำให้ผมกลายเป็นคนที่ตกอยู่ในวงล้อมของเจ้าหน้าที่ แต่ผมก็ทำ แล้วก็ไม่เคยถอยหนี ไม่เคยบิดพริ้ว ดังนั้นเมื่อผมประกาศว่าเราช่วยกันชักธงสันติ ก็หวังว่าจะได้รับการตอบสนองจากฝ่ายเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี

เราจะเดิมพันสันติภาพกัน โดยให้สังคมเป็นกรรมการ

ถึง พี่น้องคฟ. ขอให้ได้เบี้ยเลี้ยงเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ณัฐวุฒิ ยังกล่าวต่ออีกว่า ตนไม่ได้เจตนาจะกล่าวหาให้ร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ทั้งยังเข้าใจและเชื่อว่าเหนือจากบทบาท ‘คฝ.’ เนื้อในของพวกเขาก็คือประชาชน ผู้ทุกข์ทนอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาลเช่นเดียวกัน

แน่นอนครับ ท่านเป็นมนุษย์ ท่านมีอารมณ์ ท่านอยากตอบโต้ เมื่อท่านรู้สึกว่าเกินทนเกินกลั้น ท่านก็อาจจะอยากเดินหน้าฟาดฟันใส่พวกมัน แต่ในนามของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ท่านทำแบบนั้นไม่ได้

เรารู้นะครับ ว่าพ่อแม่ลูกเมียของท่านส่วนใหญ่ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

เรารู้ด้วยว่าตัวท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ คฝ. เอง หลายท่านได้ฉีดวัคซีนแล้ว แต่วัคซีนที่ได้รับไม่ได้มีคุณภาพ หรือไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับท่าน

เรายังรู้อีกว่า ญาติพี่น้อง คนในครอบครัวของท่านบางคน คงรอเตียงจนตาย เป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ไม่ได้ตรวจ เป็นผู้ป่วยแต่ไม่ได้ยา

เรารู้อีกว่า เพื่อนมิตร คนใกล้ชิดที่ท่านรักใคร่ห่วงใย ตกงาน กิจการพินาศวอดวาย ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ดำรงชีพอย่างสิ้นหวังอยู่ในขณะนี้

เรารู้เรื่องพวกนี้เพราะเราคือประชาชนผู้กำลังทุกข์ทนเหมือนกับท่านเช่นเดียวกัน

เรารู้ว่าในใจท่านก็มีคำถามมากมาย กับการบริหารจัดการของรัฐบาล เรารู้ว่าท่านต้องการวัคซีนคุณภาพ ชุดตรวจคุณภาพ ต้องการการเยียวยา ต้องการการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม รับมือวิกฤตได้จริง เรารู้ว่าท่านต้องการเรื่องพวกนี้เหมือนกับเรา และเรารู้ว่าภายใต้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาทำไม่ได้

ถ้าพี่น้อง คฝ. รับคำสั่งแล้วปฏิบัติหน้าที่จัดการกับผู้ชุมนุมด้วยกำลัง สิ่งที่ท่านจะได้คือเบี้ยเลี้ยงรายวันเท่านั้น ซึ่งผมขอส่งความห่วงใย ขอให้ท่านได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามที่ออกมาทำงาน แต่ถ้าท่านทำหน้าที่ด้วยความเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจประชาชน ถ้ามีโอกาสที่จะเรียกคืนความหวังของชีวิตกลับคืนมา พร้อมๆ กับประชาชนทั้งประเทศ

ฝ่า คฝ.ไปได้ แต่จะเจอทหารกระสุนจริง

ณัฐวุฒิ ระบุอีกว่า จะว่าพี่ขี้ขลาด จะว่าพี่ไม่สู้ จะว่าพี่ล้าหลังไม่ก้าวหน้า จะว่าพี่อย่างไรก็ตาม พี่น้อมรับ แต่พี่อยากจะบอกว่าหัวใจสู้ของคนหนุ่มสาว ส่วนตัวพี่คารวะ ยอมใจในการต่อสู้อย่างลืมเหนื่อย ลืมตัว ลืมตาย เพื่ออนาคตของคนรุ่นเดียวกัน เพื่ออนาคตของบ้านเมืองที่ดีกว่า แต่อย่าลืมว่า กลยุทธ์สำคัญอย่างหนึ่งของการต่อสู้ คือเราต้องหันด้านที่แข็งแรงที่สุด ปะทะกับด้านที่อ่อนแอที่สุดของคู่ต่อสู้ ในทัศนะผมด้านที่แข็งแรงที่สุดของประชาชน คือพลังบริสุทธิ์ที่เห็นชอบร่วมกัน ยึดหลักสันติวิธีร่วมกัน แล้วแสดงออกอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ

ในขณะเดียวกัน ด้านที่อ่อนแอที่สุดของฝ่ายผู้มีอำนาจวันนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์คือศูนย์รวมความชิงชังของคนทั้งประเทศ คือมือวางอันดับหนึ่งเรื่องความล้มเหลวไร้สามารถ และเป็นเป้าหมายที่ประชาชนต้องการขับไล่ ในขณะเดียวกันด้านที่อ่อนแอของฝ่ายประชาชนก็คือกำลังสู้รบ

ในขณะที่ด้านที่แข็งแรงที่สุดของฝ่ายรัฐก็คือกองกำลังเหล่านี้ ถ้าเราผ่าน คฝ. 5 กองร้อยไปได้ ก็จะพบกับอีก 10 กองร้อย 20 กองร้อย 50 กองร้อย และต่อให้ผ่าน คฝ. กระสุนยาง ก็จะไปเจอกับทหารกระสุนจริง

ไม่ใช่วาระ ไม่ใช่เวลาที่ประชาชนต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น เหมือนกับที่ผมและพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ ได้เผชิญหน้ามาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ฝากถึง ‘ประยุทธ์’ จะหันหลังให้กับความรุนแรงไม่ได้

แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ว่ากันไปแล้วเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มต้นจากการชุมนุมของประชาชนกลุ่มหนึ่ง แล้วในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็ฉวยโอกาสรัฐประหาร สร้างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจจนปัจจุบัน แต่การใช้อำนาจของประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ และล้มเหลวอย่างที่สุดในการเผชิญวิกฤตโรคระบาด ประชาชนจึงต้องออกมาส่งเสียงขับไล่

พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีจุดกำเนิดจากการชุมนุมของประชาชนกลุ่มหนึ่ง จึงไม่ควรที่จะสั่งการหรือดูดายเสมือนหนึ่งพึงพอใจต่อความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งในขณะนี้

ผมจำได้ว่าจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนยันอยู่เสมอว่าเจ้าหน้าที่ต้องอำนวยความปลอดภัยให้กับประชาชน ผมจึงเรียกร้องคำพูดเดียวกันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่เป็นนายกรัฐมนตรี

ท่านจะปิดทองหลังพระก็ได้ แต่ท่านจะหันหลังให้กับความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนบนท้องถนนไม่ได้

ท่านจะ work from home ก็ได้ แต่การ work from home ของท่าน ไม่ได้ตัดขาดท่านจากความรับผิดชอบ ที่จะออกมาให้นโยบาย สั่งการให้เจ้าหน้าที่ยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน