‘อดีตผู้การกองปราบ’ ข้องใจใช้ อคฝ. คุมม็อบ ชี้ถูกฝึกให้เหมือนทหาร ไม่รู้จักประชาชน แฉยุทธศาสตร์เจ้าหน้าที่ ล่อมวลชนเข้าพื้นที่สังหาร

วันที่ 14 ส.ค. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการสลายการชุมนุมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงทำได้ ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง และการชุมนุมในพื้นที่สาธารณะย่อมกระทำได้ เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประกาศใช้เพื่อควบคุมภัยทางการระบาดของโควิค – 19 มิใช่การนำมาจัดการกับผู้เรียกร้องที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาโควิค – 19 บกพร่องจนมีคนตาย

แต่ปรากฎว่าการจัดกำลังของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เป็นไปเพื่อปกป้องควบคุมเหตุการณ์ กลับเป็นการปราบปรามที่กระทำการเกินกว่าอำนาจรัฐที่ควรกระทำในการควบคุมเหตุ ยุทธศาสตร์ของเจ้าหน้าที่ คือปล่อยให้มวลชนเข้าพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อาจเรียกว่าพื้นที่สังหารหรือกับดัก มีจุดสูงข่ม และมีชัยภูมิ ที่เป็นต่อทุกครั้ง เมื่อมวลชนเข้ามาในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่ต้องการ แม้จะปาข้าวของหรือพยายามขยับตู้คอนเทนเนอร์ ที่เจ้าหน้าที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือกีดขวางผู้ชุมนุม นั่นก็เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของกิจกรรม

แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกลับลงมือระดมยิงผู้ชุมนุม มีการส่งกำลังเข้าปะทะ ทำให้เกิดความระบาดทางอารมณ์ของผู้ชุมนุมบางส่วน หรืออาจจะเป็นผู้แทรกซึมเข้ามา จนไปเผาทำลายข้าวของสาธารณะ ซึ่งน่าสนใจว่ามีคนใส่หมวกที่สื่อมวลชนจับภาพได้เข้ามาผสมโรง ซึ่งไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร แต่ภาพที่ปรากฎคือมีการวิ่งเข้าหลังกองกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ

“ผมมีข้อสังเกตถึงการชุมนุมที่ผ่านมาว่า คฝ.นั้นเป็นกองกำลังของรัฐ มีหน้าที่ป้องกันเหตุ มีอาวุธเพียงแค่โล่กับกระบอง ควรต้องนิ่ง อดทนต่อการยั่วยุ และการปะทะ ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้ คฝ.โรงพักที่เกณฑ์มาจากทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ มาช่วยดูแลพี่น้องผู้ชุมนุม

แต่พอรอบนี้พอม็อบประกาศจะไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชุดที่เอามาใช้กลับเป็น อคฝ.(กก.ปจ.เดิม)ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการปราบปราม เหมือนทหาร พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน

ดังนั้น เมื่อมาถึงก็ติดอาวุธเหมือนกับท้าตี ท้าชก กับประชาชน ไม่อดทน ไม่นิ่งเฉย แถมยังจะสนุกอย่างที่มีสื่อเก็บเสียงได้ พวกเขาชวนทะเลาะและไล่ล่า ภาพที่นั่งท้ายรถกระบะแล้วไล่ยิงประชาชนนั้นรุนแรงมาก ผมอยากถามว่าทำไมที่ผ่านมาใช้แต่คฝ.ของโรงพัก แต่พอจะบุกบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อีกชุดที่มีหน้าที่คนละแบบ ชุดนี้ปฏิบัติการจะเป็นการผลักดันทำให้เกิดความวุ่นวาย และข้ามเส้นไปสู่การยกระดับให้เป็นสถานการณ์ร้ายแรงใช่หรือไม่” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว

พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้อยู่ผ่านมาเป็นปีแล้วนั้น ออกมาเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด – 19 ไม่ได้ประกาศเพื่อควบคุมม็อบ แต่ก็มีการซ่อนเร้นไว้ไม่ให้ม็อบออกมาด้วยข้ออ้างต่างๆ จึงอยากถามว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้จะเป็นกระตุ้นให้เข้ากับมาตรา 11 ที่ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีอำนาจประกาศให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใช่หรือไม่ เพื่อจะได้ใช้มาตรา 12 จับกุมบุคคลได้ไม่เกิน 7 วันใช่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่านี่ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน เพื่อเรียกร้องจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล ดังนั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จึงผิดฝาผิดตัว อ้างป้องกันการแพร่ระบาด แต่กลับมีความทับซ้อนมาที่เรื่องความเดือนร้อนของประชาชน เป็นการเริ่มที่การสาธารณสุข แต่เอามาใช้ครอบเป็นหลังคาใหญ่คลุมไปหมด จึงอยากให้ประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันจับตา ระวังรัฐจะยกระดับให้เข้ากับองค์ประกอบนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน