โฆษกรัฐบาล” ยืนยัน สหรัฐเตรียมบริจาควัคซีนให้อีก 1 ล้านโดส ด้าน “รัชดา” ยัน ไม่มีนโยบายฉีดให้วีไอพี แจงทยอยส่งเพราะปัญหาการจัดเก็บอุณหภูมิต่ำ

เมื่อวันที่ 17 ส.ค.นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ”แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล” ถึงกระแสข่าวว่าทางสหรัฐไม่พอใจที่การบริหารและการส่งมอบให้กับด่านหน้าไปตามโรงพยาบาลต่างๆ มีความล่าช้าทำให้สหรัฐฯ และอาจจะพิจารณาไม่ส่งวัคซีนในล็อตต่อไปอีก 1 ล้านโดส ให้ ว่า กระแสข่าวนี้ไม่เป็นความจริง ทางสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยเพิ่งจะทวิตข้อความว่า “สหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะบริจาควัคซีน โควิด-19 จำนวน 1 ล้านโดส ให้กับประเทศไทยตามที่ได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ เรากำลังดำเนินการด้านการขนส่งที่มีความซับซ้อน เพื่อจัดส่งวัคซีนเหล่านี้โดยเร็วที่สุด สหรัฐฯ ยังคงยืนเคียงข้างในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่นี้”

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ นางลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ที่มาพบกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ได้กล่าวว่า “รู้สึกยินดีที่มีโอกาสได้เห็นการดำเนินการของไทยในการฉีดวัคซีนและปกป้องประชาชนและฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐได้มอบให้เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ได้พบกับบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า ซึ่งเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีของไทย ในขณะที่พวกเขาได้รับวัคซีนเข็มแรก และรู้สึกเกิดแรงบันดาลใจที่ได้ฟังเรื่องราวของพวกเขาในการปฏิบัติงานเพื่อรักษาชีวิต และได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับการจัดสรรวัคซีนนี้อย่างรวดเร็วเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเพื่อให้ทุกคนในประเทศไทยปลอดภัย” จึงเป็นข้อสรุปได้ชัดเจนว่า ทางสหรัฐฯ ได้มีความเห็นว่า เรากระจายวัคซีนอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และรวดเร็ว

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อความจากทวิตเตอร์ของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย สามารถสรุปได้ 3 ประเด็นคือ 1.มุ่งมั่นที่จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1 ล้านโดสให้กับไทยเป็นการกลบกระแสข่าวลือ และข่าวบิดเบือนจากหลายส่วน 2.สหรัฐฯ กำลังดำเนินการด้านการขนส่งที่มีความซับซ้อน หมายความว่าวัคซีนไฟเซอร์จะต้องจัดเก็บที่อุณหภูมิ -60 ถึง -80 องศาเซลเซียสดังนั้นการที่จะทำระบบโลจิสติกส์หรือการส่งไปให้โรงพยาบาลต่างๆ จึงต้องส่งเป็นล็อต ไม่ได้ส่งไปทั้งหมดครั้งเดียว เพราะหากนำไปเก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิเพียง 2 ถึง 5 องศาเซลเซียสจะไม่สามารถเก็บรักษาวัคซีนได้นาน

และ3.สหรัฐฯ ยังยืนเคียงข้างไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดอย่างนี้ ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะปัจจุบันเราต้องการความร่วมไม้ร่วมมือ และร่วมใจ จากพี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งหมดในการลดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ดังนั้นคนไทยด้วยกันเองสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ หรือสร้างความสับสนให้กับประชาชนคนไทยด้วยกันเอง ก็ขอให้หลีกเลี่ยง เพราะต่างชาติยังยืนเคียงข้างไทยในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ ทำไมคนไทยเองจะไม่อยู่ในเคียงบ่าเคียงไหล่ที่จะต่อสู้กับโรคระบาดนี้ด้วยตัวเราเองกันบ้าง เอาวิกฤตตรงนี้ให้ออกจากประเทศไทยไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ เมื่อมีโอกาสก็มาพูดคุยกันได้

ด้าน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนการกระจายวัคซีนทางกระทรวงสาธารณสุขจะกระจายไปทางโรงพยาบาลต่างๆ และหน่วยที่จะต้องให้บริการกับพี่น้องประชาชนที่เป็นด่านหน้า ซึ่งปัจจุบันเฉพาะวัคซีนไฟเซอร์ก็ฉีดเป็นเข็มที่สามไป 2 แสนกว่าโดสแล้ว และจะเดินหน้าฉีดให้ครบอย่างทั่วถึงแน่นอน ต้องย้ำว่าไม่มีนโยบายฉีดให้วีไอพี แต่ประชาชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตา นำข้อมูลออกมาแชร์ ออกมาแฉหรือส่งให้กับสื่อ ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะส่วนงานที่รับผิดชอบจะได้ติดตามเรื่องนั้น และทุกครั้งที่มีข่าวแบบนี้เกิดขึ้นเจ้าของเรื่องก็ได้มาชี้แจงให้กระจ่างว่าบางครั้งคนนั้นเป็นด่านหน้าจริงหรือบางครั้งก็เป็นความบกพร่องของข้อมูล เอกสาร หรือบางคนก็มีสอดแทรกเข้ามาก็ต้องเข้าไปจัดการ

นายอนุชา กล่าวเสริมว่า ถ้ามีประเด็นเรื่องเหล่านี้พบเจอในโรงพยาบาลต่างๆ ก็จะเห็นว่าไม่สามารถปกปิดได้เพราะสื่อโซเชียลมีเดียจะรายงานออกมาและตามโรงพยาบาลต่างๆ จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนถึงแม้ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้พบเจอแต่สุดท้ายความจริงก็จะปรากฏ หากกลุ่มวีไอพียังมีความคิดที่จะนำวัคซีนบูสเตอร์ หรือวัคซีนไฟเซอร์นี้ไปฉีดให้ก็ขอให้คิดใหม่ เพราะรัฐบาลไม่เห็นด้วยและสนับสนุน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน