วิโรจน์ แนะตั้งปุโรหิต แทน ประยุทธ์ หลังให้ชาวบ้านสวดมนต์ไล่พายุ กรณีลงพื้นที่ จ.สุโขทัย ยุรัฐบาลลาออก ฝ่ายค้านพร้อมทำหน้าที่แทน

วันที่ 27 ก.ย.2564 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.สุโขทัย เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม โดยขอให้ประชาชนช่วยกันสวดมนต์อย่าให้พายุเข้ามาอีก ว่า ยุคนี้เป็นยุค 2021 การแก้ปัญหาน้ำท่วมหรืออุทกภัยนั้น ประเทศต่างๆ พึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลักแล้ว ไม่ว่าเรื่องการวางระบบกักเก็บน้ำ การวางระบบผันน้ำ ระบบระบายน้ำ ที่สำคัญคือระบบเตือนภัยล่วงหน้า แน่นอนว่าพายุเป็นภัยธรรมชาติ ไม่มีทางที่รัฐบาลไหนจะสั่งห้ามไม่ให้พายุเข้าประเทศได้

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือพัฒนาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานการวางระบบต่างๆ ดังกล่าว หากมีการบริหารข้อมูลสารสนเทศที่ดีก็จะเตือนภัยประชาชนล่วงหน้าได้ ความเสียหายก็จะจำกัด ปัญหาน้ำท่วมขังก็จะไม่มี ประชาชนจะวางแผนจัดการชีวิตได้ง่ายขึ้น ทั้งก่อนภัยพิบัติ ระหว่างภัยพิบัติ และหลังภัยพิบัติ

“การสวดมนต์เหมือนการบอกประชาชนทางอ้อมว่าให้ยอมจำนนต่อโชคชะตา และยอมรับโดยสภาพ ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว อีกทั้งหลายคำถามนายกฯ ก็ไม่ควรจะถาม บ้านเขาท่วมมิดหลังคา กลับไปถามว่าสบายดีไหม หากสบายดีก็คงไม่เป็นเช่นนี้

จากข่าวจะเห็นว่าขนาดพระสงฆ์ที่ จ.สุโขทัย ที่อยู่ในสถานะนักบวช สวดมนต์ได้ยังไม่สวดเลย ยังออกมานำข้าวของแจกจ่ายประชาชน สุดท้ายแล้วนายกฯ เองที่โดนประชาชนสวดกันทั้งประเทศ” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เรื่องสวดมนต์ถือว่าขาดวุฒิภาวะอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลลงทุนเรื่องงบประมาณเกี่ยวกับน้ำในแต่ละปีเป็นแสนล้านบาท ถ้าไม่นับงบกลาง รัฐบาลเคยบอกกับประชาชนหรือไม่ ว่าตอนนี้ปริมาณการกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้นกี่ล้านลูกบาศก์เมตรแล้ว หรือเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ปริมาณความต้องการใช้น้ำ รัฐบาลไม่เคยชี้แจงตรงนี้ อ่านข่าว : ‘ประยุทธ์’ มาเยี่ยมนะจ๊ะ! ขอช่วยกันสวดมนต์ อย่าให้พายุเข้ามาอีก ลูกเดียวพอแล้ว

ที่ผ่านมาระบบการเตือนภัยล่วงหน้าไม่มีประสิทธิภาพ ประชาชนรู้ว่าน้ำมาก็ตอนที่น้ำมาแล้ว ความจริงหากใช้บิ๊กดาต้า หรือเทคโนโลยีดาวเทียมผสมผสานการคำนวณระบบต่างๆ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะพอประมาณการณ์ได้ว่าจะท่วมอีกกี่วัน น้ำจะลงเมื่อไหร่ ซึ่งเราไม่เห็นข้อมูลตรงนี้จากรัฐบาล

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การบริหารจัดการน้ำต้องแก้อย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาเราพยายามสร้างเขื่อนซึ่งเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำขนาดใหญ่ แต่เราไม่มีการสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำย่อยๆ เพื่อทยอยกักเก็บน้ำเป็นระยะๆ จากทางเหนือลงมาสู่ด้านล่าง

ฉะนั้น เมื่อเขื่อนเก็บน้ำไม่ไหวน้ำจึงหลากออกมา ความจริงแล้วการทำนายน้ำฝนแต่ละปี กรมอุตุนิยมวิทยาทำนายได้แม่นยำ แม้จะมีภาวะโลกร้อนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทำนายปริมาณน้ำฝนไม่ได้ จึงสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ในการสร้างพื้นที่รับน้ำย่อยๆ นอกจากนี้บางพื้นที่บิกงบประมาณทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งในปีเดียวกัน ซึ่งน่าสงสัยอย่างมาก

“รัฐบาลทำอะไรได้มากกว่าสวดมนต์แน่นอน เจอโควิดก็สวดมนต์ เจอน้ำท่วมก็สวดมนต์ ประเทศนี้ไม่ต้องมีนายกฯแล้ว แต่งตั้งปุโรหิต หรือพ่อมดหมอผีแทนดีหรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ส่วนวาทกรรมที่บอกว่าทำไมฝ่ายค้านไม่ลงมาจัดการสถานการณ์น้ำท่วม คำถามเช่นนี้จากรัฐบาลหรือฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล แสดงว่ารัฐบาลไม่รู้หน้าที่ตัวเองว่าถืออำนาจในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการ ถืองบประมาณ และไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ส.ส.ห้ามข้องแวะเรื่องงบประมาณและการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ แต่ตนมองในแง่บวกว่า รัฐบาลแสดงความมั่นใจว่าหากฝ่ายค้านมีอำนาจบริหารก็จะทำงานได้ดีกว่า

ฝ่ายค้านไม่ใช่ไม่ทำอะไร อย่างพรรคก้าวไกลก็พยายามเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความช่วยเหลือภาคเอกชนไปสู่ประชาชนที่เดือดร้อน ตามจี้ตามเสนอแนะรัฐบาลเพื่อที่จะได้แก้ปัญหาให้ถูกทาง แต่การช่วยเหลือจากภาครัฐต้องอยู่ในอำนาจฝ่ายบริหาร หากรัฐบาลพูดเช่นนั้นก็ลาออกเลย ฝ่ายค้านพร้อมจะเข้าไปทำงานแทน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน