“พิชัย” เตือน “ประยุทธ์” คิดให้ครบก่อนเปิดประเทศ จี้ยกเลิกเคอร์ฟิว ใช้พ.ร.ก.ควบคุมโรคฯ แทนพ.ร.ก ฉุกเฉิน เร่งฉีดวัคซีน 2 เข็มให้ถึง 70-80% เสนอนโยบายช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ของ SMEs แนะต้องคิดถึงประเทศชาติ อย่าคิดแค่รักษาอำนาจ

วันที่ 18 ต.ค.64 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ได้สร้างความกังวลให้ประชาชนจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่แน่ใจว่าที่ต้องประกาศเปิดประเทศเพราะพล.อ.ประยุทธ์ ประกาศไว้เองว่าจะเปิดประเทศใน 120 วัน ซึ่งครบกำหนดวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งก็เลยมาแล้ว

ทั้งนี้ หลายฝ่ายกังวลถึงความพร้อมเปิดประเทศ โพลสำรวจบอกว่าประชาชนสูงถึง 60% ที่เห็นว่ายังไม่พร้อม เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรฉีดวัคซีนครบสองเข็มเพียง 34.9% ยังต่ำมาก เพราะประเทศที่เปิดได้จะมีประชากรฉีดวัคซีนครบสองเข็มประมาณ 70-80% แต่ไทยมีแค่ครึ่งเดียว และมีประชากรฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียง 51.6% ซึ่งต่ำเช่นกัน

อีกทั้งการระบาดของไวรัสโควิดในประเทศยังอยู่ในระดับสูงถึงวันละกว่าหมื่นราย มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคนทุกวัน การเปิดประเทศโดยประชากรยังได้รับวัคซีนครบสองเข็มในสัดส่วนน้อยมาก อีกทั้งยังมีการติดเชื้อภายในประเทศมาก มีคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง เชียงใหม่ โคราช สระแก้ว พัทยา และจังหวัดภาคใต้ ฯลฯ จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก

ดังนั้น การเร่งเปิดประเทศอาจจะทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ และอาจเกิดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ได้ ซึ่งจะเป็นปัญหามาก และหากระบาดจนต้องปิดประเทศอีก ความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือ และ ชื่อเสียงประเทศ ตลอดจนเครดิตของรัฐบาลจะไม่เหลือ ถึงแม้จะนำลิซ่าและแอนเดรีย โบเชลลี่ มาโปรโมต เสียเงินเป็นจำนวนมาก

แต่ถ้าไม่พร้อมและต้องปิดประเทศอีก จะเป็นการประจานมากกว่าจะเป็นการโปรโมตประเทศ ขนาดสิงคโปร์ ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วกว่า 80% ยังต้องปิดประเทศ และเพิ่งจะประกาศเริ่มจะทยอยเปิดประเทศใหม่ ดังนั้น จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาให้ดี อย่าเปิดเพราะเหตุผลทางการเมืองมากกว่าสภาพความเป็นจริง ที่เป็นผลมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวเรื่องบริหารจัดการวัคซีนมาจนถึงปัจจุบัน ที่ประชาชนได้รับวัคซีนครบสองเข็ม ยังมีสัดส่วนที่ต่ำ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องคิดให้ครบ ถ้าจะเปิดประเทศน่าจะต้องยกเลิกพ.ร.ก ฉุกเฉิน และยกเลิกเคอร์ฟิวแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะปกติ อีกทั้งที่ผ่านมาพ.ร.ก ฉุกเฉินก็ไม่ได้ป้องกันการระบาดได้ มีไว้เพื่อจัดการผู้ประท้วงและคนเห็นต่างเท่านั้น นอกจากนี้ การประกันภัยของนักท่องเที่ยว ต่างประเทศจะไม่คุ้มครองการเดินทางไปยังประเทศที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน

ดังนั้น จึงควรต้องนำพ.ร.บ ควบคุมโรคติดต่อปรับปรุงใหม่มาใช้แทน แต่ปัญหาคือพล.อ.ประยุทธ์ ไม่แน่ใจว่านำเข้าสภาฯ แล้วจะผ่านหรือไม่ เพราะความขัดแย้งรุนแรงภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ซึ่งหากสภาไม่ผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะต้องลาออก ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้งของพล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐเอง จึงเป็นปัญหาของประเทศไปแล้ว

นอกจากนี้หากจะเปิดประเทศจริง พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะต้องมีแผนงานช่วยเหลือ SMEs ที่มีปัญหาทางการเงิน ให้สามารถกลับมาเปิดดำเนินกิจการใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ซอฟท์โลนดอกเบี้ยต่ำ การลดดอกเบี้ย การยืดการชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้ ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจเคยเสนอไว้แล้ว และผลสำรวจผู้ประกอบการก็ต้องการเรื่องนี้อย่างมาก และจะเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขปรับโครงสร้างหนี้ให้กับธุรกิจ SMEs นี้

การเปิดประเทศเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้ารัฐบาลอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ประเทศมีรายได้เข้ามา และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง โดยเฉพาะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยรุมเร้ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ไปอีกนาน

การจะเปิดประเทศได้ต้องมีความพร้อม โดยเฉพาะเรื่องสัดส่วนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสของไทยยังต่ำมาก การเปิดประเทศโดยไม่พร้อมจะสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจด้วยเหตุและผล ต้องคิดถึงประเทศชาติมากกว่าแค่การรักษาอำนาจ เพราะในอดีตถึงปัจจุบันพล.อ.ประยุทธ์ คำนึงเพียงแค่ต้องการรักษาอำนาจจึงทำให้ประเทศทรุดโทรมย่ำแย่ลงถึงขนาดนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน