เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 ธ.ค. ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธเนศร์ คำชุม กับพวก รวม 85 คน เป็นจำเลย ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัย หรือกลุ่มการ์ดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ในช่วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลปี 2551 ความผิดฐานเป็นซ่องโจร, มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 และกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535

คำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค. 2551 จำเลย 85 คน ร่วมกันประชุมวางแผนนัดแนะระดมพลจากสะพานมัฆวานรังสรรค์และสถานที่อื่น ตกลงกันไปเพื่อกระทำความผิดฐานร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.2551 จำเลยทั้งหมดพกพาอาวุธปืน เครื่องกระสุน มีดดาบ มีดพก ร่วมกันไปทำลายทรัพย์สินและบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำลายทรัพย์สินกว่า 15 รายการ รวมความเสียหายกว่า 6 แสนบาท เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้หยุดการกระทำ จำเลยทั้งหมดไม่หยุด อีกทั้งจำเลยยังร่วมข่มขืนใจน.ส.ตวงพร อัศววิไล และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และพนักงานคนอื่นๆ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้จัดรายการออกอากาศ และขับไล่ให้ออกจากสำนักงาน

ในวันนี้ มีจำเลยที่ได้รับการประกันตัวระหว่างยื่นฎีกาสู้คดี โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดและกรมธรรม์ประกันชีวิตคนละ 2 แสนบาท เดินทางมาศาล ส่วนนายมานิต อรรถรัฐ จำเลยที่ 42 ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารระบบความชั่วคราวจนกว่าจะได้ตัวมา เนื่องจากจำเลยหลบหนีคดี

เมื่อถึงเวลานัดปรากฎว่า นายวันชัย รักษายศ จำเลยที่ 78 ซึ่งเพิ่งส่งหมายครั้งเเรกในนัดที่เเล้ววันที่ 12 ต.ค.ไม่ได้เดินทางมาศาล จึงเห็นว่าการพิจารณาตามขั้นตอน จะต้องส่งหมายนัดให้จำเลยได้รับทราบก่อน เเล้วถึงค่อยพิจารณาออกหมายจับ จึงเห็นควรให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไปเป็นช่วงเช้าวันที่ 21 ก.พ.2561 โดยกำชับให้จำเลยมาในวันนัดฟังคำพิพากษาครั้งหน้า เนื่องจากเป็นนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ครั้งที่ 4 เเล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม และฐานซ่องโจร รวมจำคุก 1 ปี 18 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และซ่องโจร จำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท ส่วนจำเลยอื่นได้รับโทษตามความผิดฐานบุกรุก ฐานซ่องโจรลดหลั่นกัน ได้แก่

จำเลยที่ 3-29, 31-38, 40, 41, 43-46, 48-79 และ 82 จำคุก1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 39 และ 80 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท จำเลยที่ 30, 47 และ 81 มีกำหนด 12 เดือน จำเลยที่ 83-85 มีกำหนด 9 เดือน จำเลยที่ 24 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 30, 47, 81, 83-85 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 30, 47 และ 81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี จำเลยที่ 83-85 ยังเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยดังกล่าวไว้มีกำหนด 2 ปี ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ข้อหา และคำร้องอื่นให้ยก

ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่17 พ.ย. 2557 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1-41, 43-85 มีความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ และข่มขู่จะใช้กำลังประทุษร้าย ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 30, 47 และ 81 ขณะก่อเหตุอายุไม่เกิน 20 ปี ลงโทษจำคุก 8 เดือน และจำเลยที่ 83-85 ขณะเกิดเหตุอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้จำคุกคนละ 6 เดือน และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ และมีเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษจำคุก4 เดือน

จำเลยที่ 1-41, 43-85 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ยกเว้นจำเลยที่ 1 รวมโทษแล้วคงจำคุกไว้ 8 เดือน จำเลยที่ 30, 47 และ 81 ลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก 6 เดือน และจำเลยที่83-85 ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน โดยจำเลยที่ 30, 47, 81, 83-85 ขณะกระทำผิดเป็นเยาวชนจึงให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ยกฟ้องฐานซ่องโจร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน