หัวหน้าพรรคเพื่อไทย “ชลน่าน ศรีแก้ว” แจง “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีตขุนพลประชาธิปัตย์ อ้างดีลโทนี่ ขอบัญชีรายชื่อไม่ได้ ย้ำ ต้องผ่านกระบวนของพรรค

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นโดยมีการอ้างถึงกรณีนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รองหัวหน้าพรรค และ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่ วู้ดซัม” เพื่อดีลขอตำแหน่ง ส.ส.บัญชีราชื่อลำดับไม่ต่ำกว่า 30 ว่า กรณีนี้ตนเพิ่งทราบจากสื่อมวลชน

ซึ่งมี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ไปร้องเพื่อตรวจสอบว่าเข้าข้อกฎหมายใดๆ หรือไม่ ยืนยันว่าใครจะมาเป็นสมาชิกหรือผู้สมัครในนามพรรค ต้องมีกระบวนการที่ชัดเจนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

และข้อบังคับของพรรค พท. ซึ่งเราเขียนไว้ชัดเจนว่าใครจะมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ต้องผ่านกระบวนการการสรรหา เหมือนกับการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 9 หลักสี่-จตุจักร เราก็ไม่กล้าประกาศทันทีทันใดว่าเรามี นายสุรชาติ เทียนทอง เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ในนามพรรค เพราะทุกคนรู้หมดว่า ส.ส.เราทำงานอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว เนื่องจากมันมีกระบวนการสรรหาให้เรียบร้อย ตั้งแต่ประกาศผู้ที่มีเจตจำนงมาสมัคร จากนั้นให้ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ให้ความเห็นอีก ก่อนจะให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีความเห็นอีกครั้ง

“ฉะนั้นใครจะมากล่าวอ้างว่าจะมาเป็นสมาชิกพรรค ผู้สมัครพรรค หมายเลขนั้น หมายเลขนี้ ถ้าไม่ผ่านกระบวนการสรรหา และ กก.บห.พรรค เราไม่รับรู้รับทราบใดๆ ทั้งสิ้น” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่ามีการอ้างถึงนายเกรียง ซึ่งเป็นรองหัวหน้า พรรค พท. นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เขาจะอ้างหรือไม่ก็ไม่มีผลต่อการตัดสินของ กก.บห.พรรค และกรรมการสรรหา รวมถึงตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดที่ต้องให้ความเห็นมา ไม่ว่าจะอ้างชื่อใครก็แล้วแต่ โดยเฉพาะเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค หรือบุคคลที่อยู่ในพรรค จึงเป็นได้แค่ข้อกล่าวอ้างทั่วๆ ไป

เมื่อถามย้ำว่าได้ปิดประตูรับนายวิฑูรย์แล้วใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การจะพิจารณารับ ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ หากจะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทางคณะกรรมการบริหารพรรค ต้องมาพิจารณาว่าจะจัดลำดับอย่างไร ถ้ามีเงื่อนไขหรือข้อเสนอที่เรารับไม่ได้ กก.บห.พรรคก็รับไม่ได้ โดยเฉพาะเป็นประเด็นที่ทำให้พรรค พท.เสียหาย ก็จะเป็นข้อพิจารณาอย่างแรก ทำให้กรรมการสรรหาไม่รับพิจารณาด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ถ้าเจตนาเขาต้องการทำให้พรรคเราเสียหาย ทั้งๆ ที่เป็นนักการเมือง รู้ตัวบทกฎหมายอยู่ การนำมาพูดแบบนี้มันเป็นเงื่อนไข แต่ไม่ได้ต้องการมาอยู่กับพรรคเราหรือไม่เราก็ไม่รู้ แต่เมื่อตีความดูเจตนาต้องการทำให้พรรคเราเสียหาย ซึ่งเราไม่รับรู้รับทราบอะไรเลย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน