วิโรจน์ สงสัย ‘อุโมงค์ยักษ์’ 8 พันล้าน จัดการน้ำได้จริงหรือ ชี้ตราบใดท่อตามคลองต่าง ๆ ไม่ได้รับการบำรุงรักษา ก็ไม่สามารถระบายน้ำได้มีประสิทธิภาพ
11 ก.พ. 2565 – นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง นายณภัค เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตลาดพร้าว และ นายนฤทัช สีบุญเรือง ว่าที่ผู้สมัครส.ก.เขตวังทองหลาง ลงพื้นที่คลองเสือน้อย ถนนสุคนธสวัสดิ์ พร้อมลงเรือคลองลาดพร้าวสำรวจปัญหาระบบจัดการระบายน้ำ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประตูระบายน้ำเปิด-ปิดไม่สมดุลและไม่สัมพันธ์กัน ทำให้บางจุดเกิดเป็นพื้นที่แก้มลิง ไม่สามารถระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาขยะสะสมตามมา สะท้อนความล้มเหลวการจัดการระบบระบายน้ำของ กทม. ที่ใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพและไม่เกิดประโยชน์
งบประมาณสำนักการระบายน้ำใน 1 ปี มีกว่า 580 ล้านบาท แต่หากหักรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือน จะเหลืองบบำรุงรักษาราว 117 ล้านบาทในการขุดลอกคูคลองหรือท่อระบายน้ำ ฉะนั้น งบประมาณที่เหลือเท่านี้จึงไม่เพียงพอต่อการบำรุงรักษาระบบระบายน้ำให้ใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประตูระบายน้ำต้องมีการจัดการอย่างมีระบบ ไม่ใช่เปิด-ปิดตามใจชอบอย่างที่ผ่านมา หากระบบมีประสิทธิภาพปัญหาน้ำล้นตามชุมชนริมคลองจะแก้ไขได้
เราต้องมีระบบเซ็นเซอร์ดูว่าน้ำแต่ละจุดปริมาณเท่าไร ปลายทางคือระดับน้ำทะเลสูงเท่าไร หากน้ำทะเลหนุนสูงก็จะไม่สามารถระบายน้ำได้ แต่เราสามารถคำนวณได้ว่า คลองที่ถูกกั้นโดยประตูระบายน้ำในแต่ละจุดกักเก็บน้ำได้เท่าไร
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า อุโมงค์ยักษ์ที่ใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 8,000 ล้านบาท จะช่วยเรื่องระบบจัดการน้ำได้จริงหรือ ตราบใดที่ท่อซึ่งเป็นเส้นย่อยตามคลองต่างๆ ทั่วกทม. ไม่ได้รับการบำรุงรักษา ก็จะไม่สามารถดึงน้ำเข้าไปที่อุโมงค์ระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะเจอระบบประตูระบายน้ำพังไม่ได้ซ่อม คลองบางแห่งตื้น ท่อระบายน้ำบางแห่งแตกหัก บางครั้งเวลาฝนตกหนักจะเห็นน้ำล้นออกจากท่อ ไม่ได้เป็นเพราะน้ำท่วม แต่เกิดจากท่อระบายน้ำใต้ดินแตกหัก ไม่ได้รับการบำรุงรักษา เพราะงบประมาณส่วนนี้ไม่เพียงพอ
สำนักงานเขตดูแลท่อในซอย สำนักการระบายน้ำดูแลท่อใต้ถนนหลัก คำถามคือการทำงานของทั้ง 2 หน่วยงานสัมพันธ์กันหรือไม่ เรารู้ว่าฝนจะตกเมื่อไร ปริมาณน้ำฝนเราก็ประเมินได้ ก่อนจะนำระบบเซ็นเซอร์มาใช้ ระบบพื้นฐานต้องมีความพร้อมก่อน
เราต้องแก้ปัญหาที่ไม่ใช่การตั้งต้นด้วยเทคโนโลยี แต่เราต้องเริ่มต้นด้วยปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน หากโครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง เราค่อยใส่เทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์จัดการน้ำ แต่ระบบพื้นฐานอย่างประตูระบายน้ำทรุดโทรมใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็ไม่สามารถแก้ระบบน้ำได้อยู่ดี หากเครื่องสูบน้ำพัง เราติดตั้งระบบออโต้สตาร์ตไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
