ณัฐธ์ภัสส์ ลั่นไม่เปลี่ยนนามสกุล ยงใจยุทธ ไม่เคยทำให้ตระกูลเสียหาย หลังถูก พล.อ.ชวลิต ขู่ดำเนินคดีหากไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน
เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2565 น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีหนังสือส่งถึงตนเอง ผ่านศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม มีเลขลงรับคือ ศบร012565/0937 เพื่อขอให้เลิกใช้นามสกุลยงใจยุทธ ว่า ตนยังไม่ได้รับหนังสือ และไม่ทราบรายละเอียด แต่ยืนยันว่าตลอดที่ตนทำงานการเมือง และดูแลช่วยเหลือประชาชน ทั้งในนามอดีตผู้สมัคร นายก อบจ.นครพนม และข้าราชการการเมือง ตนตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ และไม่เคยมีพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสีย หรือความเสียหายต่อองค์กร รวมถึงต้นตระกูล และไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อกระทำการทุจริตต่อหน้าที่
“การทำงานที่ผ่านมา ไม่ว่าในฐานะใด ดิฉันมุ่งมั่นทำงานด้วยหัวใจ เพื่อรับใช้ประชาชนให้อยู่ดี กินดี ไม่เคยแอบอ้าง หรือใช้ชื่อเสียง หรือนามสกุลเพื่อทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร หรือทำผิดกฎหมาย ตำแหน่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นตำแหน่งทางการเมืองชั่วคราว มาแล้วก็ไป แต่นามสกุลที่ใช้ ทุกคนในสังคมรู้ที่มาที่ไปอย่างดี ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวที่เกิดขึ้นก่อนรับตำแหน่ง” น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ กล่าว
น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ กล่าวด้วยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ ได้บัญญัตติรับรองสิทธิ์สตรีให้มีความเสมอภาคทางกฎหมาย และได้รับความคุ้มครอง ไม่ให้ถูกเลือกปฏิบัติ และตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ยังรับรองสิทธิ์ของสตรีต่อการเลือกใช้ชื่อสกุล และคำนำหน้านามได้ว่าจะเลือกใช้นามสกุลตัวเองหลังสมรสได้ รวมถึงเลือกใช้นามสกุลมารดาเป็นนามสกุลของตนได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น การห้ามผู้มีสิทธิ์โดยชอบใช้นามสกุลเป็นการละเมิดสิทธิ์ตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ รวมถึงอนุสัญญาของต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ สตรีที่รักษาและสร้างเกียรติยศดีงามแก่วงศ์ตระกูล จึงไม่มีอำนาจใดชี้ขาดห้ามใช้ชื่อสกุลได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ หรือน้ำผึ้ง อดีตผู้สมัครส.ส.นครพนม พรรคพลังประชารัฐ มีศักดิ์เป็นหลานสาวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ โดย น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ เป็นลูกของน้องสาวภรรยาอีกคนของ ร.อ.ชั้น ยงใจยุทธ บิดาของ พล.อ.ชวลิต
โดยเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ได้ส่งตัวแทน ยื่นหนังสือผ่านศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ขอให้เลิกใช้นามสกุล ภายใน 15 วัน หากไม่ดำเนินการพร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย
