เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2565 เวลา 16.00 น. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 พร้อมด้วย นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่า กทม. และส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ในเทศกาล “หมุนเวียน เปลี่ยนเมือง” ครั้งที่ 1 ตอน “ชอบจึงหมัก รักจึงปลูก”

จัดโดยสมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (The NETWORK) โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในเขตเมืองตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวจากการหมักเศษขยะ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ

ก่อนเริ่มงาน นายสุชัชวีร์ เดินเยี่ยมชมร้านค้าจากกลุ่มผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ ที่มาจัดแสดงสินค้าเกษตร และอุปกรณ์เพื่อการเกษตร พบว่า ผู้ค้าที่มาร่วมงานมาจากหลากหลายอาชีพ บางคนไม่ได้จบตรงสาย และไม่ได้ทำการเกษตรขนาดใหญ่ แต่ก็มีรายได้พอสมควร โดยได้รับคำแนะนำจากครูใหญ่ที่เป็นเกษตรกร

นายสุชัชวีร์ แสดงวิสัยทัศน์ เรื่องการจัดการขยะของกทม. พร้อมนำเสนอแนวคิดทำเกษตรอินทรีย์ที่ยั่งยืนว่า สาเหตุที่ขยะใน กทม. ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวลดลงในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังมีขยะให้พบเห็นได้ทั่วไป และการจัดการขยะซึ่งเป็นหน้าที่ของ กทม. ยังทำได้ไม่ดี เนื่องจาก 1.เข้าไม่ถึง กทม.มีตรอกซอกซอยเยอะ แต่รถขยะมีขนาดใหญ่ จึงได้เสนอแนวคิดเรื่องการปรับขนาดรถขยะให้มีหลายไซส์ เพื่อเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และเริ่มต้นใช้พลังงานสะอาด

2.เก็บไม่ถี่ เกิดจากเส้นทางการวิ่งของรถขยะไกลเกินไป เช่น ขยะจากตลาดราชวัตร เขตดุสิต ต้องไปทิ้งถึงสายไหม จึงจำเป็นต้องเพิ่มรถและเพิ่มคน เพื่อให้การบริหารจัดการคล่องตัวขึ้น ดังนั้น กทม.ควรสนับสนุนคนที่อยากทำการเกษตรในเมือง ให้มีความยั่งยืน รวมทั้งเรื่องการนำขยะไปหมักทำปุ๋ย และการทำเกษตรอินทรีย์ ด้วยการให้กทม.เป็นผู้รับซื้อสินค้าเกษตรจากผลผลิตในเมือง เพื่อส่งให้โรงเรียน ในสังกัดกทม. รวมไปถึงศูนย์เด็กเล็ก เพื่อเกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในชุมชนได้ด้วย

สำหรับเรื่องกรุงเทพฯ 15 นาทีนั้น นายสุชัชวีร์ มองว่า คนมักจะคิดถึงการเดินไปสวนสาธารณะ หรือเดินไประบบขนส่งสาธารณะ แต่เวลา 15 นาทีนั้น ผู้ปกครองสามารถเดินไปส่งเด็กไปโรงเรียนได้ และ 15 นาทีนั้น ผู้สูงอายุควรจะไปถึงหมอ

การจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้ กรุงเทพฯต้องเปลี่ยนเป็นเมืองสวัสดิการ ซึ่งการเป็นเมือง 15 นาที จะต้องเป็นเมืองที่มีสวัสดิการพื้นฐาน ที่ต้องเข้าถึงทั้งการศึกษา สาธารณสุข สวนสาธารณะ ระบบขนส่ง แต่ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องเป็นเมือง 15 นาทีที่เดินได้แล้วปลอดภัย และหัวใจของเมืองคนที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ผู้ว่าฯกทม. แต่คือคนเดินเท้า ซึ่งฟุตบาทต้องเรียบ เป็นมาตรฐานสากลด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน