วุฒิสภา จัดกิจกรรมโครงการ “เหลียวหลัง แลหน้า วุฒิสภาเพื่อประชาชน” โชว์ผลงานตลอด 3 ปี “พรเพชร” ลั่น ไม่ได้เป็นหัวตอรอคำสั่งใคร ยืนยัน ทำหน้าที่เป็นกลางมาตลอด

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 มิ.ย. 2565 ที่รัฐสภา พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดกิจกรรม และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของวุฒิสภา ในโอกาสวุฒิสภาครบ 3 ปี กล่าวถึงการจัดกิจกรรมโครงการ “เหลียวหลัง แลหน้า วุฒิสภาเพื่อประชาชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกถึงอำนาจหน้าที่ และผลงานด้านต่างๆของวุฒิสภา ทั้งด้านกลั่นกรองกฎหมาย การบริหารราชการแผ่นดิน การให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง และการเร่งรัดติดตามการปฏิรูปประเทศ รวมถึงรับฟังความต้องการ ข้อเสนอแนะของประชาชน

ด้าน นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ส.ว.ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.2562 โดยดำเนินการด้านต่างๆ ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย อย่างเต็มกำลัง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศและประชาชน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ 4 ด้าน คือ ด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการให้คำแนะนำ และให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งสำคัญตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และด้านสุดท้ายคืองานที่วุฒิสภาต้องปฏิบัติตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ได้เพิ่มอำนาจหน้าที่ให้ส.ว. ในการติดตามเสนอแนะเร่งรัดการปฏิรูป และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ

ดังนั้น กลไกสำคัญของ ส.ว. ในการปฏิบัติตามบทเฉพาะกาล คือต้องรับฟังความเห็นปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งการทำงานของส.ว. 3 ปีที่ผ่านมา มีปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 จึงต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับงานในวันนี้เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องเหลียวหลังทบทวนบทบาทหน้าที่ในวันเวลาที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแลหน้าอีก 2 ปี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน

จากนั้น นายพรเพชร ให้สัมภาษณ์ว่า ภารกิจของวุฒิสภาทั้งภารกิจปกติ และภารกิจที่เป็นบทเฉพาะกาล สิ่งเหล่านี้ควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คนไทยลืมง่ายว่าปี 2557 มีอะไรเกิดขึ้น ประวัติศาสตร์บันทึกไว้แต่ไม่มีใครสนใจ วันนี้ประวัติศาสตร์ก็ต้องบันทึกไว้ ตนสั่งให้บันทึกทุกอย่างที่พูดและแสดงในวันนี้ ไม่ใช่ดีทั้งหมดหรือแย่ทั้งหมด แต่มีทั้งดีและไม่ดี หากมีอะไรที่ประชาชนจะวิจารณ์ก็ทำได้ไม่มีปัญหา นี่คือวัตถุประสงค์ของงานนี้

ส่วนโครงการวุฒิสภาพบประชาชน เป็นโครงการที่เราดำเนินการเข้มแข็งจริงจัง ไม่ได้เห็นประโยชน์ของจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่สิ่งใดที่เป็นปัญหา วุฒิสภารับมาเพื่อเร่งรัดไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้แก้ไข ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายอย่างต้องชะลอไป แต่เชื่อว่า 2 ปีที่เหลือจะเดินหน้าได้เท่ากับ 3 ปีที่ผ่านมา

“ผมขอให้คำมั่น และขอกำลังใจ ว่าสิ่งที่ทำไปเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจำเป็นต้องชี้แจงบางอย่างที่ไม่เหมือนกับวุฒิสภาชุดก่อนๆ แต่ถ้าผ่านบทเฉพาะกาลไปแล้ว วุฒิสภาก็จะกลับไปอยู่แบบเดิม ไม่มีการที่วุฒิสภาจะไปเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว” นายพรเพชร กล่าว

เมื่อถามว่า ตลอด 3 ปี วุฒิสภาต้องทนต่อแรงเสียดทานของเสียงตำหนิในการทำงานมากหรือไม่ นายพรเพชร กล่าวว่า ตนเข้าใจเรื่องเสียงตำหนิ ยกตัวอย่างโครงการวุฒิสภาพบประชาชน ก็มีเสียงตำหนิว่าเข้าไปจุ้นจ้านหรือไม่ เราก็อธิบายจนการดำเนินการโครงการปีที่ 2-3 ไม่มีเสียงตำหนิตรงนี้แล้ว ประชาชนเข้าใจ ยินดีต้อนรับเรา ไม่ได้มองว่าเราจะไปหาเสียงหรือจะเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะส.ว.ถูกต้องห้าม 2 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเป็นส.ว.ไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาวุฒิสภามีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจทางการเมืองหลายเรื่อง มีทั้งฝ่ายที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ รู้สึกอย่างไร นายพรเพชร กล่าวว่า ท่านอาจจะมองว่าวุฒิสภามีปัญหาเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ส่วนกฎหมายที่ทำร่วมกันกับสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีความราบรื่น ไม่มีปัญหา

“ที่เป็นปัญหามีเรื่องเดียวคือบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ เราก็รับฟัง ส.ว.หลายท่านลงคะแนนเสียงแบบไม่ได้เห็นตรงกันทั้งหมด ที่บอกว่ามีคำสั่ง ผมก็ไม่ทราบ ผมขอพูดตามตรงว่าประวัติศาสตร์มันบอก สื่อบอกว่าผมเป็นหัวตอรอคำสั่ง ผมก็ไม่เคยโกรธ ยืนยันว่าไม่มีใครเคยสั่งอะไรผม ไม่มีจริงๆ แต่การที่ส.ว.จะหารืออะไรกันนั้นเป็นเรื่องทางการเมือง ที่เขาจะพูดคุยกันว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ประธานวุฒิสภาวางตัวเป็นกลางตลอดมา และเมื่อผมเป็นกลางองค์กรก็ไปได้ ส่วนความเห็นของสมาชิกเป็นเรื่องส่วนบุคคล ประธานฯเองไม่เคยสั่ง ไม่เคยก้าวก่าย” นายพรเพชร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน