“ปลัดกห.” แจงโต้ใช้ “งบลับ”เช่ารถประจำตำแหน่ง เผยได้ตั้งแต่ 2.5-4.1 หมื่นบาท ชี้สวัสดิการดี ทหารเกณฑ์ มีเงินเหลือใช้ส่งครอบครัว แห่สมัครต่อทุกปี

เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 18 ก.ค.65 พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ว่า ยืนยันว่าทุกเหล่าทัพมีนโยบายชัดเจนในการลดกำลังพล โดยเริ่มมาตั้งแต่ 1 ต.ค.63 และตั้งเป้าว่าภายในปี 2570 อัตราผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องลดลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่กำลังพลทั่วไปจะลดลง 5% ของอัตราบรรจุจริง

โดยขณะนี้ในทุก 3 เดือน กระทรวงกลาโหมสั่งการให้ทุกเหล่าทัพ รายงานกรอบอัตรากำลังพล เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุผล ทั้งนี้ การรับสมัครตั้งแต่นักเรียนนายสิบ ไปจนถึงนักเรียนนายร้อย นายเรือ และนายเรืออากาศ ก็มีการปรับลดจำนวนลงตามลำดับ ขณะเดียวกันในการจัดวางอัตรากำลังพล ซึ่งใช้กรอบการจัดตั้งตามมาตรฐานแบบตะวันตก มีกำหนดไว้ชัดเจนว่า 1 กองพล ต้องมีกี่กองร้อย และ 1 กองร้อย ต้องมีกี่คน ปัจจุบันในการบรรจุจริง ก็ไม่ได้เกิน 60% ของอัตรา คือไม่ได้บรรจุเต็มร้อย ยกเว้น ในอนาคตหากมีสถานการณ์ จึงจะมีการพิจารณาตามสถานการณ์

สำหรับประเด็นการเกณฑ์ทหาร ยืนยันเช่นกันว่า มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นปีนี้เรียกประจำการเพียง 8 หมื่นคนเศษ เพราะกองทัพได้พิจารณาตามเหตุผลและความจำเป็น เนื่องจากการนำทหารเข้าประจำการไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในเรื่องเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยงเท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เบ็ดเตล็ดด้วย เช่น ค่าเครื่องแบบ และเครื่องแต่งกาย เป็นต้น

พล.อ.วรเกียรติ ชี้แจงต่อว่า ยืนยันกองทัพโดยเฉพาะกองทัพบกเดินหน้านโยบาย สมัครใจเข้าเป็นทหาร ผ่านระบบออนไลน์ และเปิดโอกาสให้ทหารประจำการ สามารถสมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบได้ถึง 80% ส่วนข้อถามถึงคุณภาพชีวิต และสิทธิของทหารที่เข้าประจำการนั้น ยืนยันว่าทหารที่ถูกเรียกเข้าประจำการจะได้รับการศึกษาและการฝึกอาชีพและยังมีรายได้ทั้งเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยง เหลือเพียงพอให้ทหารส่งให้ครอบครัวได้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีตัวเลขทหารที่ปลดประจำการ และขอสมัครต่อ ซึ่งกองทัพจะพิจารณาอนุญาตให้ คราวละ 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปีต่อเนื่องอยู่ทุกปี

พล.อ.วรเกียรติ ชี้แจงถึงสำหรับประเด็นเงินรถประจำตำแหน่ง ยืนยันว่าเป็นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงกลาโหม และจ่ายให้เฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งระดับรองนายพล ที่เทียบเคียงตำแหน่งรองเจ้ากรมขึ้นไป ไม่ได้จ่ายให้กับพันเอก (พิเศษ) ทุกคน โดยอัตราการจ่ายตามตำแหน่งต่างๆ มีการระบุชัด ประกอบด้วยตำแหน่ง พันเอก (พิเศษ) เทียบรองเจ้ากรม ได้รับค่ารถประจำตำแหน่ง 25,400 บาทต่อเดือน ตำแหน่งเทียบเท่าพลตรี แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งหลัก ได้รับ 31,800 บาทต่อเดือน และตำแหน่งพลโท และพลเอก แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งหลัก ได้รับ 41,000 บาทต่อเดือน

ส่วนข้อซักถามกรณีนโยบายซื้ออาวุธ ควบคู่เทคโนโลยีนั้น กองทัพบรรจุไว้เป็นนโยบายในการต่อรองซื้ออาวุธ และพยายามทำเต็มที่แต่ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า บางครั้งคู่สัญญาก็กำหนดเช่นกันว่า หากซื้อทั้งสองอย่าง ก็อาจจะต้องใช้งบเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า แต่ทั้งนี้ยืนยันกองทัพเดินหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ หรือผลิตเพื่อส่งขายผ่านหน่วยงานต่างๆ เช่น ศูนย์อำนวยการซ่อมสร้างอาวุธ หรือสถานบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ที่พยายามดำเนินการอยู่

ปลัดกระทรวงกลาโหม ยังกล่าวถึงปัญหาผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่ตกค้างอยู่ในศูนย์อพยพกว่า 30 ปี ว่า เงื่อนไขในการเดินทางกลับของผู้อพยพคือจะไม่สามารถเลือกพื้นที่ในเมียนมาได้ จึงทำให้ไม่สามารถกลับไปในถิ่นฐานเดิมได้และเมื่อไปอยู่ในถิ่นฐานใหม่ที่ทางเมียนมากำหนดให้แล้วรู้สึกไม่พอใจก็ทำให้ผู้อพยพรายอื่นๆ ไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับไปเพิ่มขึ้น

ส่วนประเด็นเครื่องบินเมียนมารุกล้ำ มีรายละเอียดที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จะชี้แจงในโอกาสต่อไป แต่สำหรับภาพรวมของกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ในส่วนของฝ่ายความมั่นคงได้มีการดำเนินการในทุกระดับตั้งแต่รูปแบบคณะกรรมการชายแดน ไปจนถึงคณะกรรมการนโยบายหรือ HLC ซึ่งกลไกต่างๆ เหล่านี้ กระทรวงกลาโหมยืนยันจะดำเนินการให้ดีที่สุด เพื่อรักษาความสัมพันธ์ เนื่องจากเมียนมา และไทยมีพรมแดนติดกันยาว 2 พันกว่ากิโลเมตร

พล.อ.วรเกียรติ ชี้แจงถึงประเด็นงบราชการลับว่า เป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ในการรักษาความมั่นคง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2547 ที่กำหนดภารกิจไว้ 4 ประเภท เช่น งบด้านความมั่นคง งบเกี่ยวเสพติด และการข่าว เป็นต้น โดยทุก 3 เดือนจะต้องเสนอรายงานการใช้จ่ายให้ นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้รับทราบ

ขณะเดียวกันเมื่อปี 2564 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจงบลับเพิ่มเติมต่อเนื่อง และในปี 2565 ผู้ว่า สตง. ได้เข้าพบผู้บริการเหล่าทัพต่างๆ เพื่อแจ้งหลักเกณฑ์ และจะเริ่มต้นเข้ามาตรวจงบลับของกองทัพตั้งแต่ปี 2566 ด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.วรเกียรติ ยังยืนยันด้วยว่า งบประมาณสำหรับรถประจำตำแหน่งไม่ใช่ รถประจำตำแหน่ง แต่เป็นรถควบคุมสั่งการทางการสื่อสาร ซึ่งใช้ในด้านยุทธการณ์ และใช้งบปกติ ไม่ใช่งบลับและก่อนจัดหาต้องตกลงกับสำนักงบประมาณด้วย

ส่วนกรณีการซื้อยูเอวี ตรวจการชายฝั่งกองทัพเรือ ยืนยันว่าเป็นไปตามระเบียบ เพราะหากใช้จ่ายงบประมาณเกิน 500 ล้านบาท จะต้องมาขออนุมัติ ที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งตนในฐานะปลัดกระทรวงฯ จะดูว่าเป็นไปตามขั้นตอน และผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพระธรรมนูญ หรือสำนักงบประมาณของกระทรวงกลาโหมหรือไม่

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน