“หากคุณยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชนในจีนไม่ได้ เพียงเพราะผลประโยชน์ทางการค้า คุณก็หมดอำนาจที่ชอบธรรมในทางจริยธรรมทั้งหมด ที่จะพูดถึงสิ่งนี้ไม่ว่าที่ใดก็ตาม”

แนนซี เพโลซี ประธานสภาคองเกรสกล่าวก่อนเดินทางไปไต้หวัน ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวของจีน และความกระอักกระอ่วนของรัฐบาลไบเดน ซึ่งกล่าวว่า กองทัพสหรัฐ คิดว่า “ไม่ใช่ความคิดที่ดี และอาจถูกจีนมองว่าเป็นการยั่วยุ”

ขวาไทย+ซ้ายตามก้นจีน เคยชินกับเผด็จการ ไม่ยอมเชื่อว่าเพโลซีไปเยือนไต้หวันด้วยจุดยืนของตัวเอง เพราะคิดว่าพรรคเดโมแครตคงไม่ต่างจากพรรคคอมมิวนิสต์ ต้องทำตามใบสั่ง หรือมี Conspiracy นายทุนวอลสตรีตอยู่เบื้องหลัง

แต่นี่คือเพโลซี ซึ่งพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่ 31 ปีก่อน ไปถือป้ายไว้อาลัยเหยื่อผู้ถูกเข่นฆ่าที่เทียนอันเหมิน เป็นเพื่อนกับดาไลลามะ ประณามจีนก่ออาชญากรรมอุยกูร์

ถ้าย้อนว่าทีอเมริการุกรานประเทศอื่น ทำไมไม่ต่อต้านมั่ง เพโลซีก็ต่อต้านบุชทำสงครามบุกอิรักมาแล้วครับ

ในทางการทูต เธอถูกมองว่าดื้อรั้นดันทุรัง ยั่วยุให้เกิดสงคราม (ซึ่งเอาเข้าจริงจีนไม่กล้าหรอกแค่รักษาหนวดมังกือ) แต่ในมุมมองของผู้รักเสรีภาพประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิมนุษยชน การไปพบไช่อิงเหวิน คือการแสดงจุดยืนแข็งโป๊ก ในโลกที่เห็นแก่ผลประโยชน์จนไม่มีกระดูก

โลกที่คน 99 ใน 100 ประณามเผด็จการทหารพม่าประหารชีวิตนักประชาธิปไตย แต่ 99 ใน 100 ก็บอกว่าอย่ายุ่งดีกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เดี๋ยวกระทบความสัมพันธ์การค้าขาย ปล่อยให้ทหารพม่าฆ่าคนของมันไป

โลกที่อาจจะมี 70 ประเทศใน 100 ประณามรัสเซียรุกรานยูเครน แต่ 70 ใน 100 จ้องซื้อน้ำมันรัสเซียราคาถูก อ้างผลประโยชน์ชาติโดยไม่แยแสสนใจทหารรัสเซียเข่นฆ่าข่มขืนพลเมืองยูเครน

ผลประโยชน์ของใคร ผลประโยชน์ประชาชนทำไมไม่อยู่บนหลักการพื้นฐานที่เคารพสิทธิเสรีภาพ อำนาจตัดสินใจเลือกอนาคตตัวเอง ของประชาชนแต่ละประเทศ

ถ้าไม่นับพวกโทษอเมริกา ก็รุกรานประเทศอื่น “ยูเครนชักศึกเข้าบ้าน” มากลบความใจดำของตน พวกอ้างผลประโยชน์การค้าการลงทุน ก็สามานย์ไม่น้อยกว่ากัน ระหว่างที่พวกแรกโทษจักรพรรดินิยมทุนนิยมอเมริกัน คนพวกหลังก็ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ ซึ่งในรัฐอำนาจนิยม ผลประโยชน์ตกกับชนชั้นนำมากกว่าชาวบ้าน ไม่ว่าการค้าการลงทุนกับจีนหรือพม่า

ดังนั้นใครจะว่าแนนซี เพโลซี “ยั่วยุ” หญิงแกร่งวัย 82 ก็ได้ใจคนรักเสรีภาพประชาธิปไตยทั่วโลก ที่เบื่อหน่ายเต็มที กับรัฐไม่มีกระดูก หนอนไม่มีสันหลัง เกรงใจจีนรัสเซียรักษาผลประโยชน์การลงทุน ที่มีแค่เศษตกถึงประชาชน

กระแสโลกกำลังเปลี่ยน หลังรัสเซียบุกยูเครน จีนปราบม็อบฮ่องกงแล้วคุกคามไต้หวัน พม่าเข่นฆ่าผู้ต่อต้านเผด็จการ คนรักเสรีภาพโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทั้งโลกมีหัวอกเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน เหมือน “พันธมิตรชานม” ในย่านนี้ ที่เกลียดจีนนักเลงโตมากขึ้นทุกวัน เหลืออดกับคนรุ่นเบบี้บูมที่เกลียดอเมริกานิยมจีน แต่อ้างผลประโยชน์ชาติจากธุรกิจท่องเที่ยวหอการค้าสภาอุตสาหกรรม (บลาๆๆ)

“แนนซี่กระดูกเหล็ก” สะบัดกระโปรงปาดจมูกมังกือ จึงเป็นอะไรที่โคตรสะใจ เพราะจีนก็ได้แต่แผดคำรามกราดเกรี้ยวด้วยความเจ็บใจ โชว์ออฟ แต่ลึกๆ ต้องอดกลั้น เพราะรู้ว่าไม่สามารถทำสงครามล้างโลก หรืออย่างน้อยก็ยังสู้สหรัฐไม่ได้ในแง่เทคโนโลยีการทหาร

จีนเองก็รู้ อเมริกาก็รู้ โดยพฤตินัยไต้หวันเป็นอีกประเทศ มีรัฐบาลของตัวเอง กองทัพของตัวเอง สกุลเงินของตัวเอง ฯลฯ จีนแค่ท่องสมมติคาถาล่องลอยไว้เท่านั้น

แต่มันมีความสำคัญเป็นเครื่องมือปลุกชาตินิยม โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์ยุคสีจิ้นผิงต้องการสืบทอดอำนาจ การปลุกชาตินิยมแข็งกร้าว ไต้หวันเป็นของจีน จีนพร้อมจะใช้กำลัง จีนยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านนี้ จีนจะครองโลก ฯลฯ มันช่วยกลบปัญหาในยุคที่จีดีพีเริ่มโตต่ำ อำนาจเริ่มถูกต่อต้าน เช่นมาตรการโควิดเป็นศูนย์

ปัดโธ่ ไต้หวันเป็นของจีน ใช่เลย นี่ท่องมาตั้งแต่สมัยอยู่ป่ากับพรรคคอมมิวนิสต์ จักรพรรดินิยมอเมริกาหนุนหลังพรรคก๊กมินตั๋ง ยึดครองไต้หวันหลังแพ้สงคราม ปกครองอย่างโหดร้ายด้วยกฎอัยการศึกนาน 38 ปี

“ไต้หวันเป็นของจีนๆๆ” 73 ปีผ่านไป ประชาชนไต้หวันเอาชนะเผด็จการ สร้างประชาธิปไตยมั่งคั่ง จีนยังจะใช้กำลังยึดครอง อ้างความชอบธรรมในอดีต มากดหัวย่ำยีประชาชนไต้หวัน 25 ล้านคน ไม่ให้มีสิทธิตัดสินอนาคตของตัวเอง

โลกเปลี่ยนไปแล้ว ในอดีตจีนถูกรังแก ปัจจุบันจีนเป็นนักเลงโต ในอดีตจีนท่องคาถา ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นมีการต่อสู้ ผู้ถูกกดขี่ทั้งโลกเป็นพี่น้องกัน ปัจจุบัน ที่ไหนมีการกดขี่ ย่ำยีเสรีภาพ จีนเข้าไปหนุนที่นั่น เพราะประชาธิปไตยเป็นของตะวันตก

สิ่งที่เปลี่ยนไปแล้วเช่นกันคือ ทัศนะของฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คงยอมไม่ได้ถ้าวันหนึ่งพรรคการเมืองประชาธิปไตยขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วยังเกรงใจจีน ไม่กล้าแสดงจุดยืน โดยอ้างผลประโยชน์การค้าการลงทุน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน