อรรถวิชช์ ยื่น สตง. สอบการแปรญัตติในสภา กทม. โยกงบเพิ่มโครงการสัมมนากว่า 111 ล้าน ยันต้องการช่วย ชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. ให้มีงบกลางดูแลวิกฤตมากขึ้น

วันที่ 13 ก.ย. 265 ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า พร้อมทีมงาน ยื่นหลักฐานต่อ นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่า สตง. ขอให้ตรวจสอบการแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2566 ของกรุงเทพมหานคร พร้อมหลักฐานเอกสารคำแปรญัตติ เปลี่ยนแปลงงบ 4,803,793,728 ล้านบาท โดยสภากรุงเทพมหานคร (สภากทม.) ได้เห็นชอบงบประมาณที่ผู้บริหารเสนอแปรญัตติเพิ่มเท่ากับจำนวนที่ปรับลด โดยพบว่ามีการเพิ่มงบโครงการสัมมนาพาคนไปเที่ยว ในหลายสำนักงานเขตของ กทม.

การตรวจสอบเบื้องต้นมีถึง 72 โครงการ ใน 26 เขต รวมวงเงินสูงถึง 111,064,450 บาท ซึ่งเป็นรายการที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ งบที่กระจายตามเขตต่างๆ เพื่อพาประชาชนไปเที่ยวนั้น หลังจากปี 2557 ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำดังกล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า กรณีเทียบเคียงกับ ส.ส. หลังประกาศใช้ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เราจะพบว่าสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีการตัดงบในรายการใด และต้องมีการแปรญัตติเพิ่มกลับเข้าไป โดยงบถูกจะเพิ่มกลับไปใส่ในงบกลางเพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้ใช้ในกรณีวิกฤต เช่น โรคระบาด หรือ น้ำท่วม เขาไม่เอามาหารแล้วลงกระจายพาไปเที่ยวสัมมนาแบบ งบประมาณ กทม.

กรณี กทม.นั้น ถ้าไม่รีบแก้ไข วิธีการงบประมาณ จะเกิดอาการ “เงินชอร์ต” ไม่พอใช้กับการรับวิกฤตใหม่ๆ ทั้งโรคระบาด และน้ำท่วม การมายื่นเรื่องให้ สตง. เพื่อให้ตรวจสอบและมีคำแนะนำการใช้เงินแผ่นดินที่ถูกต้องกับกทม.ต่อไป ทั้งนี้ ตนได้รับเรื่องมาจากข้าราชการในกทม. ที่เขาไม่อยากเซ็นอนุมัติโครงการที่มีแปรญัตติโยกงบมาในลักษณะเหล่านี้

เลขาธิการพรรคกล้า ย้ำว่า เอกสารที่ออกมาเปิดเผยตอนแรก ประเด็นมันคือ งบท่อระบายน้ำเขตจตุจักรได้แปรญัตติเพิ่มแค่ 3 ล้านบาท ขณะที่โครงการสัมมนาได้เพิ่มเกือบ 10 ล้านบาท ไม่ได้บอกว่าเขตจตุจักรตัดงบท่อระบายน้ำเหลือ 3 ล้านบาท ตามที่มีคนเข้าใจผิดกัน และย้ำว่าการตรวจสอบครั้งนี้ ยึดหลักการช่วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ให้มีงบแก้วิกฤตได้ และให้สตง.แนะนำทำความเห็นไป ตามเอกสารหลักฐานมีรายละเอียดชัดเจน

“ผู้ว่าฯ กทม. มาจากการเลือกตั้ง คนของพรรคกล้าก็เลือกผู้ว่าฯ ชัชชาติ หลายคน อยากเห็นท่านทำงานสุดความสามารถ และอยากเห็นรูปแบบบริหารงบ กทม.เปลี่ยน ซึ่งจะเป็นต้นแบบในทุกระบบการบริหาร ไม่ใช่เฉพาะกทม. แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกที่ เพราะเมื่อประเทศไทยเจอวิกฤต ถ้าเกิดมีงบกลางรอไว้ ผู้ว่าฯ กทม.หรือผู้บริหารสูงสุดของอปท.นั้นจะบริหารราชการได้ง่ายขึ้น” นายอรรถวิชช์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน