“ชวน” ยังมั่นใจ เปิดศึกซักฟอก ม.152 ได้ โยน “สุชาติ” เคลียร์ หากองค์ประชุมล่ม กรีด รัฐบาลมีเสียงข้างมาก แต่ไม่สามารถคุมเสียง

เมื่อเวลา 11.25 น. วันที่ 14 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีมีการวิจารณ์เรื่ององค์ประชุม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 วันที่ 15-16 ก.พ.นี้ว่า วันเวลาดังกล่าวเป็นตามที่รัฐบาลกำหนดมา ขณะนี้มีตัวเลขส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งหมด 419 คน แบ่งเป็นฝ่ายค้าน 186 คน รัฐบาล 233 คน

นายชวน กล่าวว่า ฉะนั้น รัฐบาลยังถือว่าเป็นเสียงข้างมากอยู่พอสมควร แต่ต้องยอมรับว่าในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถคุมองค์ประชุมได้ รัฐบาลก็คุมไม่ได้ ดังนั้น องค์ประชุมจึงไม่ค่อยมีความแน่นอน จึงทำให้เกิดมีความรู้สึกว่าการประชุมในวันที่ 15-16 ก.พ.นี้ องค์ประชุมจะพร้อมหรือไม่ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ แต่การประชุมดังกล่าวเป็นการตกลงทั้ง 2 ฝ่าย

นายชวน กล่าวต่อว่า หากไม่มีปัญหาการอภิปรายก็ใช้เวลา 2 วัน ตามที่ตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย และการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 เป็นการประชุมเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะ ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่การประชุมตามมาตรา 152 ในปีก่อนๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งประเด็นกล่าวหา แต่ครั้งนี้เป็นโอกาสของรัฐบาลที่จะสามารถชี้แจงให้ประชาชนรับทราบได้

เมื่อถามว่า หากการประชุมวันที่ 15 ก.พ. ไม่สามารถเปิดได้ จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป นายชวน กล่าวว่า เรายังมองในแง่ดีว่าการประชุมในวันที่ 15 ก.พ. ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่องค์ประชุมจะไม่ครบ เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลกำหนดมาเอง แต่อาจจะมีบางพรรคการเมืองที่เกรงว่าจะอภิปรายนอกประเด็น แต่ตนคิดว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลจะมีโอกาสชี้แจงได้

เมื่อถามย้ำว่า หากองค์ประชุมไม่ครบจริงๆ จะแก้ปัญหาอย่างไร นายชวน กล่าวว่า เรามีเวลาเพียงแค่สัปดาห์หน้าอีกสัปดาห์เดียวก็ปิดสมัยประชุม และวันศุกร์ที่ 17 ก.พ. ก็มีการประชุมร่วมรัฐสภา หากการประชุมในวันที่ 15 ก.พ.ทำไม่ได้ ก็ให้นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 หารือกับวิป 2 ฝ่ายอีกครั้ง เพราะเราไม่มีเวลามากไปกว่านี้แล้ว โดยการประชุมในสัปดาห์สุดท้ายของสมัยประชุม จะพยายามทำให้เรื่องที่ค้างไว้และเรื่องที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว ตนจึงบอกให้ทุกคนร่วมมือกันเพราะเป็นผลงานของสมาชิก

เมื่อถามว่า หากการประชุมในวันที่ 15 ก.พ. ไม่สามารถเปิดได้ จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง ประธานสภาฯ กล่าวว่า ในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ไม่เหมือนช่วงก่อนๆ ที่เมื่อก่อนจะสิ้นวาระสภาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พรรคการเมืองก็ยังคงเป็นพรรคการเมืองเหล่านั้นอยู่ การเปลี่ยนแปลงย้ายพรรคไม่ได้เป็นเหมือนในปัจจุบันนี้ แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ เพราะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นหลายพรรค และมีการย้ายพรรคอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

นายชวน กล่าวต่อว่า ดังนั้น เราจึงเห็นส.ส.ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่พรรคไหน หรือบางคนอภิปรายในสภาฯ ก็ไม่กล้าเอ่ยชื่อพรรค เพราะมีแนวโน้มว่าจะย้ายพรรค แต่ที่สำคัญคือไม่มาประชุมและไม่กดบัตร ฉะนั้น ในช่วงปลายสมัยสภาฯ เราจึงเห็นความไม่พร้อมในการครบองค์ประชุม ซึ่งรายชื่อเราไม่ได้ปกปิด สามารถมาขอดูได้ และสมาชิกที่อยากแข่งขันก็สามารถมาดูได้ว่ามาประชุมกี่ครั้ง ก็เอาไปใช้ประโยชน์ว่าคนเหล่านั้นเลือกไปแล้วรับผิดชอบหรือไม่

“ผมย้ำเตือนเสมอว่าอย่าไปประมาท เตือนส.ส.ที่มีความมั่นใจว่า อย่าไปมั่นใจ เพราะปัจจุบันประชาชนเขาติดตามการประชุม และระบบการสื่อสารปัจจุบันสามารถเจาะได้ลึก ประชาชนก็อาจจะรู้หรือคู่แข่งขันรู้แล้วเอาตัวเลขไปบอกประชาชนว่า ไม่มาประชุมบ่อย ก็อาจจะเกิดผลกระทบได้” นายชวน กล่าว

เมื่อถามว่า มีการระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะพยายามเดินเกมจะล้มการประชุมสภาฯ นายชวน กล่าวว่า ตนไม่ได้ยินเรื่องนี้ และไม่เคยมีใครมาพูดเรื่องนี้ เมื่อเป็นข่าวออกมาตนก็ไปถาม เขาก็บอกว่าไม่ได้ยินเรื่องนี้ จริงๆ แล้วการที่ตนได้พบนายกรัฐมนตรีครั้งหลังสุด ในการประชุมการปฏิรูปประเทศ ก็ได้แจ้งให้ทราบว่าการประชุมสภาฯ ล้ม แต่ตนเข้าใจว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการองค์ประชุมได้ในขณะนี้ แม้จะมีเสียงข้างมากก็ตาม ดังนั้นต้องอาศัยทุกฝ่าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน