มงคลกิตติ์ ก้มกราบสภา ประกาศลาออก หลังฟาดเดือด บิ๊กตู่ เก่งสร้างหนี้ไร้คนเทียบ-ปล่อยสมุนโกงกิน ด้าน “บุญญาพร” ส.ส.หนึ่งเดียว รทสช. โดดป้อง
เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 15 ก.พ. 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้ปัญญาในการบริหารเศรษฐกิจ โดยหาเงินไม่เป็น เก่งสร้างหนี้สินให้ประเทศ สร้างหนี้สินให้ประชาชน ปล่อยลูกสมุนทุจริตทุกรูปแบบ ทำประชาชนสิ้นหวังอับเฉาแต่ยังอยากอยู่ต่อ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากพล.อ.ประยุทธ์ 4 ประเด็น คือ 1.การบริหารเศรษฐกิจพัง ประชาชนเป็นหนี้ไร้อนาคต โดยเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจของประเทศ มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 8.2 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะ 10.5 ล้านล้านบาท หรือ 60.67% ต่อจีดีพี บริหารประเทศมา 8 ปี มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 5.054 ล้านล้านบาท เฉลี่ยต่อหัว 76,000 บาท
ส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 4.78 ล้านล้านบาท เฉลี่ยต่อหัว 72,000 บาท รวมหนี้ทั้ง 2 อย่าง ทำให้ประชาชนมีหนี้ต่อหัว 140,000 บาท นายกฯ 13 คน รวมพลังการสร้างหนี้ได้แค่ 5.533 ล้านล้านบาทเท่านั้น เทียบกับพล.อ.ประยุทธ์ 1 คน ที่สามารถสร้างหนี้ได้ 5.054 ล้านล้านบาท เป็นความสามารถก่อหนี้หาตัวจับได้ยาก ตนจึงของมอบคำขวัญวันเด็ก เด็กวันนี้คือคนใช้หนี้ของลุงตู่ในวันหน้า
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า 2.ปล่อยยาเสพติดทุกประเภทเต็มเมือง ยาเสพติดไม่มีทางหมดจากประเทศ เพราะปัจจุบันเรามีอัตราการจ่ายสินบนรางวัลนำจับ เช่น เฮโรอีน คิดกรัมละ 100 บาท ฝิ่นกรัมละ 20 บาท ส่วนยาบ้าไม่เกิน 10 เม็ด 360 บาท การจับยาเสพติดของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง จะแบ่งได้ 3 อย่าง คือ 1.จับแล้วได้สินบน และผลงาน 2.ยึดเงินยาเสพติดเอาไว้ใช้เองและแบ่งกัน นำส่งรัฐพอเป็นพิธี 3.ยาบางส่วนส่งรัฐทำลายทิ้ง อีกส่วนไปขายต่อ ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ปีงบประมาณ 2565 จับได้ 323 ราย จาก 249 เรื่อง ที่สำคัญยาเสพติดของไทยมาจากตะเข็บชายแดน เมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง นายกฯ ปล่อยปละละเลยไม่ได้
3.การพัวพันทุจริต e-bidding ภาครัฐ-เงินส่วย-บ่อนออนไลน์ เพื่อเอาเงินไว้โกงเลือกตั้ง เรื่องนี้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่กำกับกรมบัญชีกลาง สำนักงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งระบบ e-bidding เริ่มใช้ใน ปี 2559 ทางกรมบัญชีกลางได้ซื้อระบบมาจากบริษัทหนึ่ง ดังนั้น คนที่จะได้รหัสระบบ จะเป็นกรมบัญชีกลางและบริษัทนั้น ตัวอย่างการประมูลงาน เช่น การก่อสร้างลาดยางคอนกรีตที่ จ.บุรีรัมย์ งานเล็ก 2 ล้านบาท มีคนซื้อแบบเป็นร้อยราย แต่มีคนเคาะราคาแค่ 2 คน และลดราคาจากกันไม่มาก
ซึ่งการทุจริตแบบสมัยก่อนเป็นการทุจริตแบบฮั้วประมูล แต่ทุกวันนี้มันเป็นการทุจริตแบบรวมศูนย์ มีเจ้าหน้าที่จากกรมบัญชีกลางขายรหัส ขายรายชื่อขายซองผู้ประมูล และ 4.การขายแผ่นดินบรรพบุรุษหรือขายชาติ พล.อ.ประยุทธ์พูดว่าตนไม่เคยทุจริตสักบาท อยากถามประชาชนว่าเชื่อหรือไม่ เพราะเมื่อวันที่ 4 พ.ย.65 มีมติครม.ผ่านให้ต่างชาติซื้อที่ดิน 1 ไร่ แลกกับการลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท แต่มีการต่อต้าน จนรัฐบาลทนแรงต้านไม่ไหวยอมถอย ถ้าเป็นแบบนี้ยังจะว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ทุจริตอยู่อีกหรือ
Advertisement
โดยตลอดการอภิปรายของนายมงคลกิตติ์ นางบุญญาพร นาตะธนภัทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพียงหนึ่งเดียวของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่เพิ่งให้พรรครวมแผ่นดิน ขับตัวเองออกจากพรรค เพื่อมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นประท้วงและปกป้องพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นระยะว่า ผู้อภิปรายกล่าวหานายกฯ ว่าทุจริตนั้น ถามว่าท่านทุจริตตรงไหน นี่คือการใส่ร้ายป้ายสี ขอให้ผู้อภิปรายถอนคำพูดว่านายกฯ ทุจริตเดี๋ยวนี้ เพราะนายกฯ ไม่เคยทุจริต
ในช่วงท้าย นายมงคลกิตติ์ กล่าวจบการอภิปรายของตัวเองว่า ตนขอทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพราะตนจะยื่นลาออกในวันที่ 17 ก.พ.นี้ ตนขอขอบคุณประชาชน 66 ล้านคน ที่ไว้วางใจตนให้เป็นส.ส. และขอบคุณประธานสภาฯ รวมถึงเพื่อนส.ส. ตลอดการทำงานที่ผ่านมา โดยหลังจากจบการอภิปราย นายมงคลกิตติ์ ได้เดินไปที่หน้าบัลลังก์ของห้องประชุมสภาฯ และก้มลงกราบที่พื้นสภาฯ เพื่อเป็นการขอบคุณสภาฯ ตลอดการทำงานเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
