ปิยบุตร ไลฟ์ร่ายยาว เจ็บใจฟังอภิปรายโหวตนายกฯ ลั่นอะไรกันนักกันหนา เขาให้มาดูว่าใครจะเป็นนายกฯ สอนมวย ‘คำนูณ-สมชาย’ แนะอย่ากลัวเกินเหตุ บอก ‘ชาดา’ อย่าเอาสถาบัน ถามรับผิดชอบไหวหรือไม่

เมื่อเวลา 12.05 น. วันที่ 14 ก.ค.2566 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เปิดไลฟ์อภิปรายนอกสภา ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา โดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 1 ชั่วโมงเต็ม ผ่านเฟซบุ๊ก

นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนฟังแล้วเจ็บใจตนเอง ถ้าอยู่ในสภาจะขออภิปรายโต้แย้ง ชื่อวาระการประชุมก็บอกแล้วว่าเป็นการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 แต่การประชุมเมื่อวาน(13 ก.ค.) กลายเป็นเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งเขียนเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เอาไว้ มองว่าเป็นเรื่องน่าแปลก

“นายพิธา และพรรคก้าวไกล ประกาศชัดเจนว่า เรื่องมาตรา 112 ใน MOU ไม่ได้ระบุไว้ พูดง่ายๆ รัฐบาลชุดหน้าถ้า 8 พรรคเขาจัดตั้งได้สำเร็จ เขาจะไม่มีนโยบายผลักดันให้แก้ไข 112 แน่นอน MOU ก็ไม่ได้เขียนเรื่องนี้ไว้” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะเสนอร่างแก้มาตรา112 แต่พรรคก้าวไกลหาเสียงไว้ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจะปล่อยให้เป็นเรื่องของส.ส.พรรคก้าวไกล 151 คน ที่จะเสนอร่างดังกล่าวเข้าสภา ท้ายที่สุดจะผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลก้าวไกล หรือนายพิธา รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค แต่อยู่ที่ส.ส.และส.ว.

“เมื่อวานอะไรกันนักกันหนา เขาให้มาดูว่าใครจะเป็นนายกฯ แต่ปรากฏว่าลากไปเรื่อง 112 สถาบัน ลากไปเรื่องรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ตกลงแล้วใครกันแน่ที่เอาเรื่องสถาบันมาพูดคุย” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตร กล่าวว่า ถ้ามองในแง่บวก ถือว่าเป็นเรื่องดี การที่สมาชิกรัฐสภาหลายคน เช่น นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย นายสมชาย แสวงการ ส.ว. นายชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. เป็นต้น ที่พวกเขาเหล่านี้ยืนยันโดยชัดเจนว่าเรื่องสถาบัน อภิปรายในรัฐสภาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มองเป็นเรื่องที่ดีที่ประชาชนจะได้มีโอกาสรับฟังเรื่องเหล่านี้ในรัฐสภา

เลขาฯคณะก้าวหน้า กล่าวว่า หากไม่พอใจ ในการเสนอกฎหมายก็โหวตให้ตกไป ตามกระบวนการนิติบัญญัติ ตนไม่เห็นว่า เกี่ยวข้องกับการโหวตนายกฯ แม้แต่น้อย วานนี้พูดชัดเจนว่าให้ตาย ส.ส.รัฐบาลก็ไม่ทำ แต่ส.ส.พรรคก้าวไกล โดย ส.ส.151 คน เขาจะไปทำของเขาเอง เมื่อวานนี้ท่านทำให้มันผิดเพี้ยนไป จากที่โหวตนายกฯ กลายเป็นอภิปรายมาตรา 112

นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนกังวลใจ เพราะวันนี้ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เมื่อวาน เกิดความกังวลใจ เนื่องจากสมาชิกรัฐหลายคน เอาวิธีคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด เพราะเป็นการเอาแนวคิดสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาอธิบายเรื่องพระราชอำนาจของสถาบัน

สิ่งที่ตนเสนอมี 3 ประเด็นใหญ่ๆ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และการลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ นำโดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายสมชาย แสวงการ และ นายคำนูณ สิทธิสมาน เป็น 4 บุคคลหลักที่อภิปรายบ่อยๆ แบบใหม่กลับตาลปัตร

โดยนายคำนูณ พยายามอธิบายมาตรา 6 ที่เขียนว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2475 ไม่มีข้อความในลักษณะนี้ แต่เติมเข้าไปในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2

นายปิยบุตร ระบุว่า คนร่างรัฐธรรมนูญในอดีต เช่น ศ.หยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ เคยอธิบายไว้ ซึ่งไม่ตรงกับนายสมชายและนายคำนูณแน่นอน

ศ.หยุด แสงอุทัย อธิบายว่า การที่มาตรานี้กำหนดให้ พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะนั้น ย่อมเป็นการกำหนดโดยปริยายว่าพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่เหนือการเมือง จะต้องทรงเป็นกลาง ไม่เข้าข้างพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ จึงมีหลักว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้ โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์

สรุปได้ว่าคำว่าเคารพสักการะเท่ากับเป็นการเทิดพระเกียรติ ซึ่งเคารพสักการะเป็นผล แต่ต้องมีเหตุ คือเราต้องออกแบบรัฐธรรมนูญ ระบบกฎหมายต่างๆ ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมือง จะไม่ตกอยู่ในการวิจารณ์ของฝักฝ่ายทางการเมือง ไม่ได้หมายถึง แตะต้องไม่ได้ หรือต้องมีกฎหมาย หรือลงโทษ เป็นคนละเรื่องกัน

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ทุกประเทศที่มีระบบสถาบันก็เขียนว่าผู้ใดละเมิดมิได้ หมายถึงฟ้องร้องไม่ได้ในทางใดๆ ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ได้ใช้พระราชอำนาจในการบริหารแผ่นดิน ทางการเมืองโดยแท้ แต่คนใช้อำนาจคือคนรับสนองพระบรมราชโองการ ดังนั้น คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบในทางการเมือง พระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยว

นายปิยบุตร สรุปว่า ท้ายที่สุดมันคือผลของการที่เราต้องการให้พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพ ไม่ถูกฟ้อง และอยู่เหนือการเมือง ระบบกฎหมายที่เหลือต้องออกแบบไม่ให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจทางการเมืองโดยแท้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

นายปิยุบตร กล่าวว่า ตนติดตามผลงานนายคำนูณมาตลอด แต่กรณีที่นายคำนูน เอารัฐธรรมนูญ มาตรา 6 เชื่อมโยง 112 บอกว่าพรรคก้าวไกลทำลายมาตรา 6 ทางประตูหลัง ตนขอถามตรงๆ ว่าวันนี้ประเทศไทยปกครองในระบอบอะไร อย่าเอาวิธีคิด สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาปะปนกับ ประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องนายคำนูณต้องอธิบายให้ถูกต้อง

นายปิยบุตร ย้ำว่า ความผิดฐานดูหมิ่นฯ ไม่ต้องอยู่หมวดความมั่นคงแห่งรัฐก็ได้ เขาไม่ได้ทำลายความมั่นคงของรัฐ มีความผิดก็ว่ากันไป แต่ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของรัฐ ตนถามตรงไปตรงมาว่าวันนี้มีคนถูกดำเนินคดีมากมาย สถาบันยังคงอยู่ ดังนั้น เป็นคนละเรื่องกัน

หากพรรคก้าวไกลเสนอจะย้ายหมวดออกมา ก็ไม่ได้ผิดอะไร ถ้าไม่เห็นด้วยก็โหวตคว่ำ แต่จะมาลาก มาโยง เพื่ออธิบายให้คลุมเครือ ซ่อนระหว่างบรรทัด เชื่อมโยงพรรคก้าวไกลว่าเป็นพวกล้มล้างการปกครอง อันนี้ไม่ถูกต้อง ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีแรงต้านทานสูงพอสมควรแล้ว รู้ดีจะโดนข้อหานี้มาโดยตลอด แต่ไม่ใช่

สิ่งที่ตนกังวลคือวิธีคิดเชื่อมโยงของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งมองว่า ไม่เป็นคุณต่อสถาบันแน่นอน ทำไมเอามาอธิบายตอนเลือกนายกฯ และพยายามชี้นำว่าพรรคก้าวไกลคิดอะไรกับสถาบัน การเอาเรื่องนี้มาอภิปรายในการโหวตนายกฯส่งผลอะไร หากจะไม่ชอบนายพิธา เรื่องอะไรก็ว่าไป

นายปิยบุตร ยกตัวอย่าง ตนเคยโพสต์เตือนพรรคไทยภักดีไปรอบหนึ่งแล้วว่าทำแบบนี้ไม่ดีที่ออกมาพูดเรื่องปกป้องสถาบัน การที่ชี้หน้าพรรคอื่นล้มล้างเป็นประโยชน์ตรงไหน พรรคคุณได้มากี่แสน พรรคคุณได้ส.ส.ไม่กี่คน แต่พรรคก้าวไกลที่คุณกล่าวหามี 14 ล้านกว่าเสียงได้ 151 ส.ส.

นายปิยบุตร ย้ำว่า การรักษาสถาบัน อย่าใช้วิธีการแบบนี้ ไม่ใช่การสักแต่พูดๆ แล้วชี้หน้าด่าพรรคอื่น การรักที่ถูกต้อง ต้องออกแบบรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ให้สถาบันเป็นกลางทางการเมือง ส่วนเรื่องการใช้อำนาจ เป็นเรื่องรัฐมนตรี ส.ส.ว่ากัน วันนี้ไม่เห็นด้วยกับตนก็ได้ แต่จำคำตนไว้ให้ดี วันหน้าจะรู้ว่าเป็นประโยชน์ต่อสถาบัน

นายปิยบุตร กล่าวว่า ร่างที่พรรคก้าวไกลเสนอคือ นิรโทษผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ทางประตูหลัง เพื่อยุติความขัดแย้งกับคนรุ่นหนึ่งกับรุ่นหนึ่ง อยากให้บ้านเมืองไปต่อได้ การนิรโทษเป็นเรื่องสำคัญ คนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร ไม่ได้ชิงปล้นใคร ในประเทศไทยเคยนิรโทษมาตรา 112 หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 19 จำนวนมาก หลังจากนั้น คณะรัฐประหารก็ออกประกาศเพิ่มโทษด้วย

ทำไมงวดนี้ทำไมได้ อย่าทำให้น่ากลัวเกินเหตุ เห็นด้วยหรือไม่ก็คุยในสภา หาฉันทามติร่วมกันก็ได้ อย่าวาดภาพให้เป็นเรื่องน่ากลัว เชื่อว่าหากนิรโทษกรรม สถาบันจะได้รับการเคารพนับถือ และได้รับการยกย่องมากกว่าปัจจุบันด้วยซ้ำ

“ท่าน ส.ว.ที่เคยจับอาวุธ เคยโดน 112 สู้กับรัฐไทย ช่วยเสนอแทนก้าวไกลหน่อย ไม่ไว้ใจก้าวไกลก็ไม่ต้องให้ทำก็ได้ แต่ท่านช่วยหน่อย” นายปิยุบตร กล่าว

ส่วนที่นายสมชาย พยายามอภิปรายเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าแก้ 112 ไม่ได้นั้น มองว่าเป็นการขู่พรรคอื่นๆ ดังนั้น อย่ากลัวเกินเหตุ ลองลดความอคติลง เลิกเสพเฟกนิวส์ ไอโอ คิดให้มันแยบคายแบบโยนิโสมนสิการ ในสถานการณ์แบบนี้ นายกฯ ควรเป็นนายพิธาดีกว่าคนอื่นแน่นอน

นายปิยบุตร กล่าวถึงกรณีนายชาดา ระบุยอมไม่ได้ที่ให้คนต่างประเทศมาฟ้องพระมหากษัตริย์ไทย ตนฟังแล้ว ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ตนต้องเรียนว่าการกระทำแบบนี้ไม่เป็นคุณต่อสถาบัน มองว่าอย่าเอาสถาบันไปเกี่ยวข้อง

นายปิยุบตร กล่าวในช่วงท้ายว่า การประชุมเมื่อวานนี้ ถ้า ส.ว.คนใดก็ตามไม่อยากให้นายพิธาเป็นนายกฯ ไม่อยากให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลเป็นสิทธิของท่าน อยากให้อ้างเหตุผลอื่นไปเลยว่าชอบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มากกว่า อ้างไปเลย แต่อย่าเอาประเด็น ม.112 สถาบันไปอ้าง

นายพิธาและพรรคก้าวไกล หากวันหนึ่งได้เป็นหรือไม่ได้เป็น ก็พร้อมอยู่แล้ว ประเทศไม่ได้ล่มสลาย สามารถเดินต่อได้ แต่ตนกังวลใจว่าการเอา มาตรา112 มาเป็นข้ออ้าง เพราะเป็นการเอาประเด็นมายุ่งกับเรื่องการเมือง ถามว่าสมาชิกสภาที่พูดต่อยหอยเมื่อวานรับผิดชอบไหวหรือไม่ รักสถาบันแล้วทำแบบนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน