ครูมานิตย์ มั่นใจเรื่องคุณสมบัติ หมออ๋อง นั่งรองประธานสภา จบที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่ ให้แต่ละพรรคเข้าชื่อยื่น ย้ำเก้าอี้นี้ต้องเป็นของรัฐบาล เตือนหากยึดติดอาจถูกด้อยค่ากลางสภา
วันที่ 2 ต.ค.2566 นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล กล่าวในรายการ “อยากมีเรื่องคุย” ทางข่าวสดออนไลน์ ว่า วิปรัฐบาลเพิ่งประชุมเสร็จสิ้น ซึ่งมีการหยิบยกเรื่องคุณสมบัติของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ซึ่งถูกพรรคก้าวไกลขับออกจากสมาชิกพรรค มาพูดคุยกัน โดยสรุปว่าจะไม่ได้ตั้งญัตติในสภา เพราะการตั้งญัตติในสภาก็ไม่มีผล สภาไม่มีสิทธิ์ขับไล่ อีกทั้งยังมีญัตติเรื่องน้ำท่วม
ประธานวิปรัฐบาลจึงให้โจทย์ไป เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงให้เป็นความสมัครใจของแต่ละพรรค จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน ตีความคุณสมบัติก็ทำได้ โดยให้ทีมกฎหมายของแต่ละพรรคไปพิจารณา

ครูมานิตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการอยากมีเรื่องคุย
นายครูมานิตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้จบไม่ง่าย สังคมสับสนว่า เหตุการณ์ที่พรรคก้าวไกลขับนายปดิพัทธ์ ออกมาแล้วยังนั่งรองประธานสภา ถูกด้วยกฎหมายและจริยธรรมหรือไม่ มีสมาชิกรับรองหรือไม่ ใช้เสียง 3 ใน 4 หรือไม่ ก้าวไกลออกมาแถลงสั้นๆว่าขับออกแล้ว เมื่อขับแล้วต้องเดินหน้า หาพรรคใหม่สังกัด 30 วัน
“เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ หมออ๋อง สูญเสียเรื่องความเชื่อมั่น และเสียต้นทุน เพราะถูกไล่ออกจากพรรค ผมเสียดายที่ก้าวไกลเดินมาด้วยดีระดับหนึ่ง แต่ต้องมาโดนสังคมสงสัย แต่อาจต้องสูญเสียอีกคือ เก้าอี้ประธานกมธ. ซึ่งจะพูดคุยกันพรุ่งนี้(3 ต.ค.) จาก 11 คณะจะเหลือ 10 คณะ” นายครูมานิตย์ กล่าว
เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลไม่ควรเป็นผู้นำฝ่ายค้านหรือรองประธานสภาฯ นายครูมานิตย์ กล่าวว่า ตนภาวนาให้ก้าวไกล ขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้เต็มตัว นายปดิพัทธ์ ลาออก คิดเช่นนี้เพราะต้องการเห็นภาพที่เขาตั้งความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วนายปดิพัทธ์ ยอมให้กรรมการบริหารพรรคขับออก ทำให้เรารู้สึกว่าเสียดาย แต่สิ่งที่ดีใจคือพรรคก้าวไกลและสมาชิกพรรครู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นอย่างไร เหมือนที่เขาเคยโทษเพื่อไทย ข้ามสายพันธุ์ ใช้วาทกรรมต่างๆนานา แต่ตอนนี้ทุกอย่างอยู่บนโลกแห่งความจริง
“ส่วนตำหน่งรองประธานสภา ต้องว่าตามกฎหมาย วันนี้หมออ๋อง โดนขับ มันมีผลต่อคะแนนที่โหวตในสภาหรือไม่ เพราะมันเป็นตำแหน่งรองประธานสภา ซึ่งเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ และต้องอยู่ในสังกัดรัฐบาล เชื่อว่าเรื่องนี้ถึงศาลรธน.แน่นอน เพื่อเป็นบรรทัดฐานในวันข้างหน้า หากหมออ๋อง ยังอยู่ในตำแหน่งรองประธานสภา จะโดนคนอภิปรายพูดเหยียด ด้อยค่าในสภา จึงเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้ตัดสินเพราะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นสส.ที่มีตำแหน่งรองประธานสภา จึงต้องมีมาตรฐานนี้ไว้”
นายครูมานิตย์ กล่าวว่า ตนสงสารนายปดิพัทธ์ เห็นท่านมีความตั้งใจ อาจลองผิดลองถูก หลายเรื่องอาจมองว่าปฏิบัติชอบ แต่สังคมอาจไม่ใช่ เช่น ไปสิงคโปร์ทั้งที่เขาไม่ได้เชิญมา แต่ทำเรื่องไปเอง หรือพาเจ้าหน้าที่สภาไปเลี้ยงหมูกระทะหรือเป็นนายแบบเชียร์เบียร์ ส่วนที่นายปดิพัทธ์ บอกว่าจะทำให้สภาแห่งนี้โปร่งใส ตนฟังแล้วไม่สบายใจ อยากรู้ว่าไม่โปร่งใสเรื่องอะไร ควรบอกออกมา จะได้ช่วยกัน
เมื่อถามว่ามีการมองว่าเป็นการสกัดนายปดิพัทธ์ ในเรื่องตรวจรับอาคารรัฐสภา นายครูมานิตย์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เรื่องการก่อสร้างสภา ตรวจสอบได้ ปิดบังกันไม่มิด มีคนมาตรวจสอบเยอะ ตนคิดว่าไม่น่าใช่ การที่นายปดิพัทธ์พูดถือว่าเจตนาดี
เมื่อถามว่าหากนายปดิพัทธ์ ทิ้งเก้าอี้รองประธานสภาฯ ควรเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือภูมิใจไทย นายครูมานิตย์ กล่าวว่า ไม่กล้าพูด เป็นเรื่องของผู้ใหญ่จะพิจารณาว่าเป็นของเพื่อไทย ภูมิใจไทยหรือรวมไทยสร้างชาติ อยู่ที่ความเหมาะสม จริงๆควรอยู่ในซีกรัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายค้าน และไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
นายครูมานิตย์ กล่าวถึงนายศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นป.ป.ช.สอบพรรคก้าวไกลและนายปดิพัทธ์ว่า นายศรีสุวรรณ ไม่ใช่พันธมิตรของรัฐบาล ซึ่งตนมองว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้และอยากตอบแทนสังคม ซึ่งยื่นหมดทุกฝ่าย เป็นความสวยงามของภาคประชาชน ที่ทำหน้าที่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เป็นความน่ารักของประชาธิปไตย