พิชัย ชี้ เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะกบต้ม หลังไตรมาส 3 ขยายได้เพียง 1.5% แนะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนจะซึมยาว ชื่นชม ‘บิ๊กต่อ-ตร.’ ลบประวัติอาชญากรให้คนไทย 9.3 ล้านคน
วันที่ 21 พ.ย.2566 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มซบเซาหนัก หลังจากสภาพัฒน์ประกาศตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 3 ขยายได้เพียง 1.5% หลังจากไตรมาส 2 ขยายได้ 1.8% และไตรมาสแรกขยายได้ 2.7% โดย 9 เดือนแรกของปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.9% เท่านั้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 อาจจะขยายได้ไม่ถึง 2%
การที่สภาพัฒน์ฯ ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่าจะขยายได้ 2.5% ไม่น่าจะทำได้จริง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายจะต้องขยายตัวอย่างน้อย 4.3% ซึ่งจากแนวโน้มปัจจุบันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
การที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยตลอด 10 ปีเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยเพียงปีละ 1.8 – 1.9% เท่านั้น ซึ่งต่ำมากและต่ำที่สุดในอาเซียน ไทยถูกขนานนามจากสื่อต่างประเทศว่าเป็นคนป่วยของเอเซีย ตั้งแต่ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดเสียอีก
เป็นการยืนยันการอยู่ในภาวะกบต้ม เป็นตามทฤษฎีกบต้ม ที่ตนได้เคยเตือนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2559 และ ถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งคนมาฟ้องร้องตนในปี 2560 เป็นหลักฐานการเตือน แต่สำนักอัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องกระโดดให้พ้นภาวะกบต้มนี้ โดยต้องเร่งให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวให้ได้ 5% ตามศักยภาพตามที่ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ และ เอดีบี ได้เคยระบุไว้
ดังนั้น ในภาวะเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำอย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อของไทยติดลบ -0.31% หรือ เข้าสู่ภาวะเงินฝืด หนี้สาธารณะพุ่งถึง 62.14% หนี้ครัวเรือน 91.6% ของจีดีพี การส่งออกติดลบ และนักท่องเที่ยวไม่ได้เข้ามาตามคาดหมาย จึงจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากภาวะกบต้ม และพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า เพื่อให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความสุข มิเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยอาจจะซึมยาวได้
ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ. ตร. และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่ได้ลบประวัติอาชญากรให้กับคนไทยทั้ง 9.3 ล้านคน ที่สมควรถูกลบประวัติอาชญากรแล้ว หลังจากตนได้ออกมาเรียกร้องให้ ตร. เร่ง แก้ไขประวัติอาชญากรของตนที่ยังคงมีประวัติอยู่ ทั้งที่อัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว และขอให้ลบประวัติอาชญากรของประชาชนและคนรุ่นใหม่ด้วย ปรากฏว่ามีถึง 9.3 ล้านคนเลย ซึ่งคนเหล่านี้จะได้ไปทำมาหากินและเดินทางต่างประเทศได้โดยไม่มีประวัติอาชญากรค้างอยู่